โรแบร์โต้ คาร์ลอส

ตำนานฟูลแบ็กฝั่งซ้ายผู้มีความอึดในการวิ่งขึ้นลงทางริมเส้นตลอด 90 นาที เปิดบอลแม่นยำ มีความเร็ว แถมสิ่งที่น่ากลัวคือ คาร์ลอส มีเท้าซ้ายที่ทรงพลังในการยิงประตูระยะไกลมาก เขามีมัดกล้ามเนื้อต้นขาและข้อเท้าที่แข็งแรง สามารถยิงประตูจากนอกเขตโทษได้คมกริบ หนักหน่วงและแม่นยำ

โรนัลโด้ นาซาริโอ

โคตรสุดยอดตำนานนักเตะบัลลงดอร์ชาวบราซิล เขาอาจจะเคยบาดเจ็บที่หัวเข่าอย่างหนักจนต้องพักแข้งไปนานเกือบ 2 ปี และโดนหนีบไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 ในสภาพที่ไม่เต็มร้อย แต่สุดท้ายก็ดันพาทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2002 แถมยิงได้มากถึง 8 ประตู คว้ารางวัลดาวยิงสูงสุดของฟุตบอลโลก 2002 ไปครองหลังจากได้แชมป์โลก เขาก็ย้ายมาอยู่กับ เรอัล มาดริด และได้แชมป์ลาลีกากับทีมในทันทีโดยเขาระเบิดฟอร์มสุดเหี้ยมด้วยการทำประตูมากมายให้กับ มาดริด แม้ว่าจะมีอาการบาดเจ็บรบกวนบ้าง แต่ก็ยังสุดท้ายเลยทีเดียว และในช่วงปลายปี 2002 โรนัลโด้ ก็ได้รางวัลบัลลงดอร์สมัยที่ 2 ของตัวเองมานอนกอดในที่สุดด้วย

เอเมอร์สัน

มิดฟิลด์ตัวรับเจ้าของฉายา “เสือพูม่า” เขาได้แชมป์ลีก 2 สมัยซ้อนกับยูเวนตุสในฤดูกาล 2004-05 และ 2005-06 แล้วก็โดนริบแชมป์เพราะคดีกัลโช่ โปลี จนทำให้ยูเวนตุสต้องโดนปรับตกชั้นไปเล่นเซเรียบีในปี 200จากนั้นก็มีนักเตะยูเว่หลายคน ย้ายออกไปเพราะไม่อยากตกชั้นไปด้วย โดย เอเมอร์สัน ก็เป็น 1 ในนั้น เขาย้ายมาอยู่กับยูเวนตุสพร้อมกับ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ โดยเขาเป็นตัวหลักในแดนกลางที่คอยไล่เบียดไล่ชนในแดนกลางเขาเป็นนักเตะที่มีลูกตุกติกอยู่บ้าง แต่ก็เป็นถึงกองกลางตัวรับชั้นดีที่อ่านเกมขาด สกัดบอลได้เด็ดขาดมาก โดยแค่ในฤดูกาลแรก เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ลาลีกา 2006-07 และ 2007-08 มาครองได้ในทันทีอีกด้วย

โรบินโญ่

กองหน้าจอมเทคนิคชาวบราซิลที่ซึ่งในปี 2005 เมื่อครั้งที่ย้ายมาจากซานโต๊ส เขาได้รับฉายาว่าเป็น “นิวเปเล่” กันเลยทีเดียว คาดว่าจะได้บัลลงดอร์กับมาดริดด้วย แต่สุดท้ายนั้น กองหน้ารายนี้ก็ไม่สามารถพัฒนาจนเป็นสุดยอดนักเตะได้ แต่เรื่องเทคนิคเฉพาะตัว การเลี้ยงบอล จ่ายบอล ยิงประตู ก็ยังพออยู่ในระดับที่น่าชื่นชมอยู่บ้าง แต่เขาก็ควรจะได้ดีมากกว่านี้จริงๆ

ริคาร์โด้ กาก้า

เพลย์เมกเกอร์สุดหล่อชาวแซมบ้าที่ระเบิดฟอร์มกับเอซีมิลานเอาไว้อย่างยอดเยี่ยม เขาเป็นนักเตะดีกรีบัลลงดอร์ปี 2007 ที่ได้แชมป์มาหมดแล้วกับมิลาน และเมื่อถึงเวลาต้องย้ายทีมเพื่อช่วยพยุงการเงินของมิลาน เขาได้เซ็นสัญญากับมาดริดในปี 2009 ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลก ก่อนท่ะจโดนลบสถิติในเวลาไม่กี่วันเมื่อคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย้ายมาอยู่ด้วยแต่ว่าตลอด 4 ปีในทีมมาดริด กาก้า เจอทั้งปัญหาอาการบาดเจ็บ ฟอร์มตก โดนจับนั่งสำรองซะมากกว่า เลยทำให้เทพบุตรลูกหนังรายนี้ ไม่ค่อยจะมีช่วงเวลาที่น่าจดจำกับมาดริดเท่าไหร่นัก

ผู้รักษาประตู & กองหลัง

รุย ปาตริซิโอ (GK) – 6/10 – เซฟลูกยิงลูกสำคัญๆไว้ได้พอควร และปัดลูกยิงที่ควรเข้าประตูแน่ๆไปหนึ่งดอกแบบน่าชื่นชมในครึ่งแรก แต่ว่าการที่เขาเสียไปสองประตูแล้วค่อยกลับมาตั้งสติได้ดีขึ้นอีกครั้งในช่วงหลังพักครึ่ง บางทีมันก็ดูจะช้าไปหน่อย แถมในเกมนี้ เขายังเสียอีกเม็ดด้วย แต่ก็ยังดีที่เขาเซฟจุดโทษได้ดีในเกมนี้ จานลูก้า มันชินี่ (CB) – 3/10 – ทำหน้าที่ได้ดีในการล็อกตาย ซาแลร์เมเกอร์ แต่ว่าทำไมคุณกลับเล่นโง่ๆในภายหลังซะแบบนั้น ด้วยการโดนใบแดงภายในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา ทำลงไปเพื่อ !?คริส สมอลลิ่ง (CB) – 5/10 – ไม่ได้ทำอะไรเสียหายมากเท่าไหร่ แต่ว่าเกมรับในวันนี้ก็ดูหลวมๆไปเหมือนกันโรเจอร์ อิบาเนซ (CB) – 3/10 – ทำผิดพลาดอย่างน่าสยดสยองเลยทีเดียว โดยเขาพลาดจนทำให้มิลานยิงลูกที่สองได้ เสียวสะท้านไปทั้งตัวเลยทีเดียวกับความผิดพลาดที่เขาก่อขึ้นในวันนี้

วิงแบ็ค & มิดฟิลด์

จอร์แดน แวร์ตูร์ (DM) – 4/10 – การจ่ายบอลได้ไม่ดีเท่าไหร่ ดีเลย์เกมรับก็ไม่ดีเท่าที่ควรจะทำได้ด้วย เล่นพลาดแบบน่าตกตะลึงจริงๆ ไม่สามารถดึงเอาความสามารถของเพื่อนร่วมทีมออกมาได้ แม้แต่การทำเกมจากแนวลึกก็ยังไม่สามารถทำได้ดีด้วยในเกมนี้ริค คาร์ลสดอร์ป (RWB) – 5/10 – วันนี้ทำอะไรไม่ค่อยจะเวิร์ค ทำเกมริมเส้นไม่ได้ ยันเกมบุกของมิลานก็ไม่ได้… พลาดแล้วพลาดอีกจนทุกอย่างมันหยุดลงตรงที่ว่า เขาถูกไล่ออกจากสนาม โอ้ มันบ้ามากเลยจริงๆลอเรนโซ่ เปเญกรินี่ (CM) – 5/10 – ไม่ได้มีอิทธิพลต่อเกมแดนกลางเท่าไหร่นัก แต่ก็นะ เราทราบดีว่าเขาพยายามแล้ว พยายามที่จะเพรส แย่งบอล ทำทุกอย่าง พยายามโน้มน้าวผู้ตัดสินให้ยอมกลับคำตัดสินตอนที่เพื่อนจะโดนใบแดงก็ด้วย แต่สุดท้ายบารมีกัปตันทีมของเขาก็ยังไม่มากพอเฮนริค มคิทาร์ยาน (CM) – 5/10 – มีจังหวะเลี้ยงบอลหลบสวยๆ สองสามหนในช่วงแรก แต่เขาก็เริ่มโดนจับทางได้ โดนบีบจนมีพื้นที่ให้ทำเกมน้อยลง ทำอะไรต่างก็ติดขัดไปหมดมาธิอัส วิน่า (LWB) – 4/10 – ไม่เคยกลัวที่จะดวลกับ เมสซิอาส แต่เอาไม่อยู่ กระนั้นแล้วสไตล์การเล่นของเขานั้น ก็ยังพอจะมีอนาคตต่อทีมโรม่าชุดนี้ได้อยู่เช่นกัน

กองหน้า

แทมมี่ อับราฮัม (ST) – 6/10 – ค่อนข้างจะพลาดเยอะ ใช้โอกาสเปลือง แถมทำให้ทีมเสียจุดโทษในครึ่งแรกด้วย แต่เขาก็ไถ่บาปให้ตัวเองด้วยการยิงแบบสุดเฉียบคมได้ในช่วงท้ายเกม แต่มันเป็นประตูตีไข่แตกที่มาช้าไปนิโกโล่ ซานิโอโล่ (ST) – 5/10 – พยายามจ่ายบอล ทำเกม วิ่งทะลุเข้าเขตโทษหลายครั้ง แต่มิลานจัดการกับเขาได้ง่ายๆเลยทีเดียว จนหายไปจากเกมซะเป็นส่วนใหญ่

ตัวสำรอง

ไบรอัน คริสตันเต้ (CM) – 5/10 – ไม่ได้เปลี่ยนเกมอะไรได้เท่าไหร่ ผลงานดูทรงๆเฟลิกซ์ อาเฟน่า-กียาน (DM) – 5/10 – ไร้ผลงานที่ดีสเตฟาน เอล ชาราวี (CM) – N/Aเอลดอร์ โชมูโรดอฟ (ST) – N/A
เปเรซ (ST) – N/A

ผู้รักษาประตู & กองหลัง

เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า (GK) – 5/10 – มีงานให้ทำน้อยมาก แต่เวลามีบอลบุกเข้ามา เขากลับยังไม่สามารถวางใจในเรื่องการป้องกันประตูได้ เขาแพ้ในจังหวะการดวลลูกกลางอากาศกับ ลูคัส มูร่า อย่างชัดเจนเซซาร์ อัซปิลิเกวต้า (RB) – 7/10 – เชลซี เปลี่ยนฟอร์เมชั่นมาเป็นระบบแบ็กโฟร์ในเกมนี้ แต่ว่า อัซปิลิเกวต้า ก็เล่นได้อย่างยืดหยุ่นในเกมนี้ เขาทำหน้าที่ทั้งสองอย่างในสนาม ทั้งกระเถิบออกริมเส้นเป็นแบ็กขวาได้ดี และหุบเข้าในมาเป็นกองหลังตัวกลางอีกคนได้อย่างขยันขันแข็งอันโตนิโอ รูดิเกอร์ (CB) – 8/10 – ดักทางของ แฮร์รี่ เคน กองหน้ากัปตันทีมชาติอังกฤษได้อย่างยอดเยี่ยม คุมเคนซะเหมือนจะหายไปจากเกมได้อย่างอยู๋หมัดเลยทีเดียวมาลัง ซาร์ (CB) – 7/10 – วันนี้เล่นได้ดีมากเลยทีเดียว ไม่มีปัญหาอะไรมาร์กอส อลอนโซ่ (LB) – 8/10 – ไม่ใช่ครั้งแรกที่สเปอร์สเจอกับ อลอนโซ่ เขาทำเกมริมเส้นด้านซ้ายได้ดี และแน่นอนว่าเขาจะเป็นอนาคตของเชลซีไปอีกนานหลายปีแน่นอน

กองกลาง

ซาอูล ญีเกซ (CM) – 8/10 – หลังจากผ่านช่วงครึ่งฤดูกาลแรกที่ไม่ดีเท่าไหร่ แต่สุดท้ายแล้ส ซาอูล ก็ได้แสดงให้เห็นถึงผลงานที่ยอดเยี่ยม คู่ควรกับการที่เขาได้ลงเล่นในคืนนี้ จอร์จินโญ่ (CM) – 7/10 – อาจดูโรยๆไปบ้าง เมื่อต้องเจอกับการคู่มิดฟิลด์ของสเปอร์สที่เล่นบอลดุดัน แต่พอจับจังหวะได้นั้น เขาก็สามารถเล่นได้ตามสไตล์ตบแปะบอลแบบปกติของเขานั่นแหละฮาคิม ซิเยค (RM) – 8/10 – ทำหน้าที่เพิ่มเป็นสองเท่าในฐานะวิงแบ็ก เมื่อเชลซีเปลี่ยนระบบเป็นแบ็กไฟว์ ซึ่งดูเหมือนว่า ซิเยค จะทำหน้าที่หนักกว่าสมัยอยู่กับอาแจ็กซ์ เมื่อสองสามปีก่อน แต่ก็เล่นได้ดีแบบไม่น่าเชื่อเมสัน เมาท์ (AM) – 7/10 – กระจายบอลไปได้ทั่วทั้งสนาม ปั้นเกมได้ยอดเยี่ยมในเกมนี้ไค ฮาแวร์ตซ์ (LM) – 6/10 – ทำประตูได้ แต่โดยรวมคือเล่นไม่ได้น่าประทับใจ และถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงพัก เพราะบาดเจ็บมือ

กองหน้า

โรเมลู ลูกากู (CF) – 5/10 – ไม่ได้ดูเฉียบคมอะไรเลยในการยิงประตู เล่นได้ไม่คุ้มกับการที่เจ้าตัวมีชื่อกลับมาสู่รายชื่อนักเตะตัวจริง แม้ว่าจะสร้างปัญหาให้กับสเปอร์สได้บ้าง เมื่อเขาวิ่งเข้าไปในเขตโทษ

ตัวสำรอง

ติโม แวร์เนอร์ – 6/10 – การเคลื่อนไหวและฝีเท้าของเขาทำให้เกมรับของ สเปอร์ส เกิดปัญหาได้ แต่การยิงของเขาไม่ได้เรื่องเหมือนเดิมมาเตโอ โควาซิข – 6/10 – เล่นได้ดีแบบเรียบๆรูเบน ลอฟตัส-ชีค – 6/10 – พอได้นิดหน่อย แต่ไม่มีอิมแพคอะไรต่อเกมคริสเตียน พูลิซิช – N/Aฮาวีย์ เวล – N/A..เชลซี เดินหน้าเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง มันคือ 2-0 ในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศคาราบาว คัพ นัดแรกที่ซึ่งพวกเขาได้สู้กับท็อตแน่ม คู่ปรับร่วมกรุงลอนดอนการกลับมาเยือนถิ่นเก่าของ อันโตนิโอ คอนเต้ ในสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์นั้นดูท่าทางว่า คอนเต้ จะไม่มีความสุขนัก เนื่องจากเขาได้เห็นแล้วว่าทีมของเขาสู้ได้ห่วยแตก และเล่นได้แย่กว่าเชลซีตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเขามีงานมากมายที่ต้องทำหากพวกเขาต้องการคัมแบ็กในเลกที่สองเชลซีออกสตาร์ทได้ดีที่สุด และออกนำในนาทีที่ 5 เมื่อมาร์กอส อลอนโซ่ แย่งบอลจาก จาเพต ทากาญ่า ได้สำเร็จ และจากนั้นวิงแบ็กชาวสเปนก็ผ่านบอลไปให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ ยิงผ่านมือฮูโก้ โยริส เข้าไปได้ โดยที่ดาวินสัน ซานเชซไม่สามารถเคลียร์บอลออกจากเส้นประตูได้ทันแม้ว่าเจ้าบ้าน จะมีโอกาสครองบอลได้มากกว่า แต่พวกเขาก็ไม่ได้สร้างโอกาสที่ชัดเจนได้มากนัก แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้มาก เพราะถึงไม่ค่อยจะมีโอกาสยิง แต่ก็ยังได้ประตูนำห่าง 2-0 อยู่ดี เพราะทากาญ่า เคลียร์ลูกฟรีคิกที่ฝั่งของเชลซีโยนเข้ามาได้ไม่ดี บอลไปโดน เบน เดวีส์ เปลี่ยนทางเข้าไปจมตาข่ายแบบสุดโชคร้าย โรเมลู ลูกากู ที่กลับมาเล่นในเกมนี้ ก็เกือบโหม่งเป็นประตู แต่ก็ติดมือของโยริส แต่เอาเถอะ มันคือการแข่งขันที่เชลซีทำได้ดีมากในเกมนี้ และวันนี้เราจะมาดูกันว่า นักเตะเชลซีแต่ละคน ควรได้คะแนนความสามารถจากเกมนี้คนละกี่คะแนนดี คะแนนนักเตะเชลซี

ผู้รักษาประตู & กองหลัง

มาร์ค-อันเดร แทร์ สเตเก้น (GK) – 7/10 – จ่ายบอลแม่นอยู่พอควร เพื่อทำให้ทีมเซ็ตเกมรุกจากแนวรับได้ แถมยังเซฟประตูแบบโกงความตายไว้ได้แบบสุดเหลือเชื่อด้วย ทำให้บาร์ซ่าเก็บสามแต้มในเกมนี้ได้สำเร็จ ต้องชมเขาเลยล่ะออสการ์ มิงเกซ่า (RB) – 7/10 – เล่นเกมรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากเลยทีเดียว แถมเขายังเล่นเกมรับได้ดีอย่างไร้ที่ติและยังมีโอกาสสร้างจังหวะเกมรุกแบบเด็ดๆอยู่ได้ราวๆสองสามครั้ง ซึ่งจังหวะการเปิดบอลของเขา ยังเป็นการทำแอสซิสต์ให้ เด ยองยิงประตูได้ด้วยเคราร์ด ปิเก้ (CB) – 8/10 – ทำหน้าที่เตะฟรีคิกให้กับทีมในเกมนี้แบบสุดแปลกประหลาด แฟนบอลงงเกือบทั้งเกมเพราะนี่ไม่ใช่หน้าที่ๆ ปิเก้ เคยทำมาก่อน แต่มันก็ช่างเป็นการเริ่มต้นปี 2022 ที่ดุดันจริงๆ ของปิเก้ เขาเล่นเกมรับได้อย่างยอดเยี่ยมแต่ไม่ได้เจอกับบททดสอบหนักๆมากเท่าไหร่ แต่ก็พาทีมเก็บชัยชนะไปได้สมบูรณ์แบบเอริค การ์เซีย (CB) – 5/10 – วันนี้เล่นไม่ค่อยโอเค จ่ายบอลสะเปะสะปะ การยืนตำแหน่งก็แย่เช่นกัน ยังต้องขุนอีกเยอะโรนัลด์ อเราโฆ (LB) – 6/10 – ไม่พลาดเลยสักจังหวะ ทั้งๆที่เขาลงเล่นในบทบาทที่ไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ พอวางใจได้ในระยะสั้นๆเท่านั้น

กองกลาง

นิโก้ (CM) – 7/10 – วันนี้ได้ลงเล่นเป็นกองกลางตัวคุมเกม เล่นได้ดี จัดระเบียบในแดนกลางได้ดี เขาแทบไม่สูญเสียการครอบครองบอลเลย และมีจังหวะจ่ายบอลคีย์พาสได้อยู่สองสามครั้งด้วยกันเฟรงกี้ เด ยอง (CM) – 7/10 – วิ่งพล่ายเชื่อมเกมให้กับบาร์เซโลน่าไปทั่วสนาม และยังต้องเล่นเกมรับด้วย ทดแทนส่วนที่ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ ทิ้งเอาไว้ได้เลยริกี้ ปุช (CM) – 7/10 – ตัดสินใจจ่ายบอลหรือเลี้ยงบอลยังขาดๆเกินๆ ไปหน่อย แต่เขาก็ไม่เคยหยุดพยายามสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นในเกมนี้

กองหน้า

อิเลียส อาโคมัช (RF) – 7/10 – วันนี้ได้เล่นตำแหน่งถนัด เขาสร้างจังหวะได้ดี จ่ายบอลสร้างโอกาสและเลี้ยงบอลจี้แนวรับของมายอร์ก้าได้ดีมาก นี่คือดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากจริงๆลุค เดอ ยอง (ST) – 7/10 – เล่นได้น่าประทับใจในเกมนี้ ยิงประตูได้ 1 ลูกจากการโหม่ง และยิงโดนเสาอีกสองครั้งด้วย บางทีเขาอาจจะมีอนาคตในถิ่นคัมป์นูมากขึ้นก็ได้หลังจากนี้?เฟร์ราน จุตกล้า (LF) – 5/10 – ได้ลงเล่นเป็นสามประสานแดนหน้าของบาร์เซโลน่า แต่ก็เล่นได้ธรรมดาๆ

ตัวสำรอง

อัลบาโร่ ซานซ์ (CM) – 6/10 – เจ้าหนูดาวรุ่งจากบาร์เซโลน่าชุดเยาวชนคนล่าสุดที่ได้ลงเล่นเปิดตัวในทีมชุดใหญ่ เล่นได้ดีพอควรเลยล่ะเคลมองต์ ลองเลต์ (RB) – 6/10 – ลงเล่นในตำแหน่งๆแปลกคือ แบ็กขวา แต่ก็ธรรมดาสุดๆเอสตานิส เปโดรลา (RF) – N/A – ไม่มีคะแนน

กองหน้าตัวเป้าหมายเลข 9

หน้าเป้าหมายเลข 9 ที่บาร์ซ่ามีในตอนนี้ หวังพึ่งพาไม่ได้สักรายโดยเฉพาะ ลุค เดอ ยอง …มันเป็นอะไรที่เสี่ยงเช่นกัน จริงอยู่ที่ว่า เฟร์ราน มีทักษะการจบสกอร์ที่คมพอตัว แต่เขาก็ไม่ใช่หน้าเป้าอาชีพ ดังนั้นแล้วการที่จะยัดให้ เฟร์ราน ลงเล่นเป็นตัวหน้าเป้าเบอร์ 9 ก็ดูจะเสี่ยง เสี่ยงไม่พอเสียของด้วย ชาบี้คงไม่ใช้งานเขาในบทบาทนี้แน่

กองหน้าตัวเป้าหลอกแบบ ฟอลส์ไนน์

มันคือบทบาทที่เขาแจ้งเกิดและโด่งดังในสีเสื้อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เลยทีเดียว แม้ว่าจะยิงประตูไม่มากนัก แต่จังหวะการเล่นของเขาก็สร้างช็อตเด็ดๆและจังหวะอันตรายๆได้เยอะมาก ชาบี้เองก็เล็งเห็นแล้วว่าบทบาทกองหน้าตัวกลางในรูปแบบฟอลส์ไนน์นั้น กองหน้าขี้เลี้ยงแบบ เมมฟิส เดปาย ไม่ได้มีอะไรที่เหมาะสมเลยจริงๆ เขาไม่ได้พยายามช่วยเพื่อนเชื่อมเกมเลยสักนิด ดังนั้นแล้วการแก้ปัญหาของชาบี้ ที่ได้นำเอาตัวของ เฟร์ราน ตอร์เรส มาเป็นหน้าตัวเป้าหลอกคนใหม่ เป็นตำแหน่งที่เขาคุ้นชินสุดๆในทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มันน่าจะต่อยอดการเล่นในบทบาทนี้ได้มากเลยทีเดียว

หมายเลข 10 ในแดนกลาง

เป็นบทบาทที่ท้าทาย แต่ก็ใช่ว่านักเตะที่มีพรสวรรค์แบบเขาจะทำไม่ได้เสียหน่อย มันเป็นบทบาทของตัวำทเกมแบบคลาสสิกที่ซึ่ง บาร์เซโลน่า ไม่เคยขาดเลยในแต่ละยุค โดยรายล่าสุดที่ทำหน้าที่เป็นจอมทัพหมายเลข 10 ให้กับบาร์เซโลน่าก็คือ ลิโอเนล เมสซี่ ที่เป็นตำนานของทีมนั่นเองและถ้าหากว่าเราลืมรายของ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ที่เล่นได้ไม่เอาไหนเลยในบทบาทนี้ ลองพิจารณาตำแหน่งหมายเลข 10 ที่ไอ้หนุ่มตอร์เรสจจะลองเล่นดูก็น่าสนใจเช่นกัน เขาอาจจะทำได้ดีก็ได้

ปีกขวา

มันคือตำแหน่งที่ทำให้ ตอร์เรส แจ้งเกิดได้อย่างยอดเยี่ยมในสมัยที่เล่นให้กับบาเลนเซีย เขาเป็นตัวรุกด้านขวาที่สามารถกระชากลากเลื้อยทางริมเส้นด้านขวาได้ดี พาบอลทะลุทะลวงจากริมเส้นเข้าไปในเขตโทษได้ดี เขาไม่ใช่ปีกที่ครอสบอลแม่นยำอะไรนัก แต่การผ่านบอลสั้นๆเข้าช่องให้กองหน้าทำประตู หรือผ่านลูกให้กองกลางที่เติมขึ้นมา ได้ลุ้นยิงประตู กระทั่งว่าแต่งบอลแล้วยิงด้วยซ้ายข้างไม่ถนัด เขาเองก็ทำได้ดีเช่นกัน

ปีกซ้าย

เดี๋ยวนี้เป็นพิมพ์นิยมไปแล้ว ที่ปีกถนัดขวา จะเล่นทางฝั่งซ้ายเพื่อทำให้ตัวเอง สามารถโยกบอลตัดเข้าในเพื่อหาเหลี่ยมในการยิงประตูหรือผ่านบอลทะลุแนวรับได้ง่ายขึ้น แต่จะว่าไปแล้วนั้น เฟร์ราน แทบจะไม่เคยเล่นในตำแหน่งนี้มาก่อน เลยสามารถตัดชอยส์เรื่องตัวรุกด้านซ้ายออกไปได้ และเผื่อพื้นที่นี้ไว้ให้ เมมฟิส เดปาย หรือกระทั่ง อันซู ฟาติ ได้ลงเล่น อ้อ ขาดไม่ได้กับ กาบี้ ก็เล่นได้เช่นกัน คำถามนี้เป็นไง … เฟร์ราน ตอร์เรส จะเล่นตรงไหนให้บาร์ซ่า ? มันเป็นคำถามที่น่าสนใจมากเลยทีเดียวเพราะว่าล่าสุดนั้น แฟนบอลบาร์เซโลน่า มีโอกาสจะได้ต้อนรับการมาถึงของ เฟร์ราน ตอร์เรส อึก 1 นักเตะดาวรุ่งที่มีแววว่าจะกลายเป็นสุดยอดนักเตะในอนาคตข้างหน้านี้ด้วยการขัดเกลาจาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สุดยอดผู้จัดการทีมชาวสเปนที่คุมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาจัดการดัดแปลง เฟร์ราน ให้พัฒนาจากการเป็นปีกขวาธรรมดาๆที่เลี้ยงบอลเก่ง แต่เปิดบอลงั้นๆ ให้กลายมาเป็นกองหน้าตัวกลางสไตล์แบบ “ฟอลส์ไนน์” ที่สามารถเชื่อมเกมกับกองกลางได้ และเป็นตัวทำประตูหรือผ่านบอลจังหวะเด็ดๆให้เพื่อนที่หุบเข้าในมา หรือเติมขึ้นมาได้ยิงประตูได้ด้วย มันดูสมบูรณ์แบบมากขึ้นเลยทีเดียวสำหรับ เฟร์รานและในตอนนี้ บาร์เซโลน่า ภายใต้การคุมทีมของ ชาบี้ เอร์นานเดซ ที่ทำทีมให้กลับมาเล่นในระบบติกิ-ตะก้า ด้วยแล้วนั้น แถมชีบ้ยังเป็นคนรีเควสต์ทีมให้นำตัวของ เฟร์ราน มาอยู่กับทีมด้วยอีก ถ้าเป็นเขานั้น เขาจะจับให้ เฟร์ราน ลงเล่นในตำแหน่งไหนดีเราไม่ต้องสนใจเรื่องพื้นที่แนวรับ เพราะเฟร์รานเป็นตัวรุก เราจะใส่ใจกับตำแหน่งพื้นที่สุดท้ายที่กองหน้ารายนี้จะต้องรับผิดชอบจะดีที่สุด

11 เมษายน 2012 – 13 พฤษภาคม 2012 (6 นัด)

จริงๆ แล้ว ซิตี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหมดโอกาสยุติความเจ็บปวดตลอด 45 ปีที่พวกเขาไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดไปในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2012 หลังจากที่พวกเขาเสมอกับสโต๊คและซันเดอร์แลนด์แบบติดต่อกัน ตามมาด้วยความพ่ายแพ้ต่ออาร์เซนอล และมันก็ทำท่าว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่าจะเป็นฝ่ายได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองได้มากกว่าแล้วแต่เหลืออีก 6 เกมที่เหลือ พวกเขาเดินเครื่องสุดกำลัง เริ่มต้นด้วยชัยชนะ 4-0 เหนือเวสต์บรอมวิช และจากนั้นซิตี้ก็ดาหน้าไล่ยำทุกทีมที่ขวางหน้า ทำในทุกๆสิ่งที่พวกเขาทำได้ และหวังว่าจะโค่นทุกทีมที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาให้ได้ให้หมดชัยชนะห้านัดติดต่อกันและการที่ยูไนเต็ดสะดุดกับเอฟเวอร์ตันและวีแกน มันทำให้หลายฝ่ายมั่นใจว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาจจะกดดันจนแพ้ในวันสุดท้ายของการแข่งขันเกมลีก แต่แล้ว เซร์คิโอ อเกวโร่ ก็หวดประตูชัยในเกมกับ QPR ได้ ส่งพวกเขาเป็นแชมป์ลีกสูงสุดในรอบ 45 ปีในทันที

21 เมษายน 2014 – 11 พฤษภาคม 2014 (5 นัด)

ซิตี้ ไม่ได้เป็นจ่าฝูงเลยสักครั้งนับตั้งแต่วันเปิดฤดูกาลของฤดูกาล 2013-14 จนกระทั่งพวกเขาทะยานผ่านสัปดาห์สุดท้ายของฤดูกาล 2013-14 จนได้ตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จ นำหน้าลิเวอร์พูลไปแบบไม่น่าเชื่อในขณะที่ “หงส์แดง” ของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ดันไปสะดุดตอนเจอกับเชลซีและคริสตัล พาเลซ แต่กลับกัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ไม่ได้แสดงอาการละเหี่ยใจหรือเล่นบอลแบบกดดันใดๆทั้งสิ้น และฉวยโอกาสเต็มที่จากช่วงเวลาที่ลิเวอร์พูลเริ่มสะดุด ด้วยการเก็บชัยชนะห้านัดรวดในเกมกับเวสต์บรอมวิช, คริสตัล พาเลซ, เอฟเวอร์ตัน, แอสตัน วิลล่า และเวสต์แฮม จนพวกเขาจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้.จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่ฤดูกาลที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกของพวกเขาเลยจริงๆ ถ้ามองผลงานแบบรวมๆในฤดูกาลนั้น แต่เพราะการที่พวกเขาได้รับชัยชนะติดต่อกันถึง 8 ครั้งตั้งแต่ในเดือนธันวาคมจนถึงเดือนมกราคม มันเลยทำให้กูรูบอลมากมายเริ่มมองซิตี้ใหม่แล้ว

26 สิงหาคม 2017 – 27 ธันวาคม 2017 (18 เกม)

หนึ่งปีผ่านไป หลังจจากที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็สามารถจูนระบบทีมจนติด ตั้งแต่ต้นฤดูกาล 2017-18 พวกเขาเค้นฟอร์มเก่งออกมาได้ดี และในที่สุดพวกเขาก็กลายเป็นสโมสรแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่เก็บคะแนนได้มากถึง 100 คะแนนได้อย่างน่าอัศจรรย์ในแคมเปญการแข่งขันพรีเมียร์ลีกฤดูกาลดังกล่าวซิตี้ชนะเกมแรกของฤดูกาลด้วยการเอาชนะไบรท์ตันที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา แต่จากนั้นก็ถูกเอฟเวอร์ตันลูบคม แต่อย่างไรก็ตาม ซิตี้ ก็เก็บชัยชนะได้ในนาทีที่ 97 ที่พวกเขาสู้กับบอร์นมัธในเกมถัดมา ตามมาด้วยการถล่มลิเวอร์พูล 5-0 โดยชัยชนะครั้งนี้ทำให้ซิตี้มีกำลังใจมากขึ้นที่จะเป็นแชมป์ลีกเลยและเมื่อถึงเวลาที่ ซิตี้ ต้องสู้กับพาเลซ พวกเขาก็ยังเอาชนะได้ในวันส่งท้ายปีเก่าปี 2017 พวกเขาชนะและเก็บได้ถึง 18 แต้มติดต่อกัน ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของพรีเมียร์ลีกในตอนนั้นเลยทีเดียว สุดท้ายพวกเขาก็ได้แชมป์จนได้

3 กุมภาพันธ์ 2019 – 12 พฤษภาคม 2019 (14 เกม)

ซิตี้ ยังคงป้องกันตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกไว้ได้อีกครั้งในฤดูกาล 2018-19 แม้ว่าพวกเขาจะโดนลิเวอร์พูลไล่ตามไปจนถึงวันสุดท้ายของการแข่งขัน และต้องเก็บชัยชนะถึง 14 เกมติดต่อกันเพื่อคว้าแชมป์ลีก หลังจากพ่ายนิวคาสเซิ่ลเมื่อปลายเดือนมกราคม พวกเขาก็ตั้งสติได้ และคว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จในบั้นปลาย พวกเขาเริ่มต้นด้วยชัยชนะเหนืออาร์เซนอล และในไม่นานจากนั้น ก็ไล่ถล่มเชลซี 6-0 ก่อนขึ้นเป็นจ่าฝูงหลังจากที่ลิเวอร์พูลเสมอกับเอฟเวอร์ตันในต้นเดือนมีนาคมซิตี้ไม่ได้เพลาความแรงเลย เพราะลิเวอร์พูลไล่ตามมาติดๆแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังฟอร์มดีกว่าและป้องกันแชมป์ลีกไว้ได้

19 ธันวาคม 2020 – 2 มีนาคม 2021 (15 นัด)

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 2020-21 แบบสบายๆ แทบจะการันตีแชมป์ได้ตั้งแต่ในช่วงกลางฤดูกาลที่วุ่นวาย ซิตี้ ต้องอดทนได้กับการออกสตาร์ทเกมลีกที่ย่ำแย่ในฤดูกาลนี้ ด้วยมาตรฐานการเล่นที่มันดรอปไปนิดหน่อย พวกเขาเก็บชัยชนะได้เพียง 5 เกมจาก 12 เกมแรกในลีก แต่สุดท้ายพอเข้าช่วงปลายปี พวกเขาก็เก็บชัยชนะ 15 เกมติดและได้แชมป์ลีกได้ในที่สุด

โธมัส ทูเคิ่ล ตอนนี้น่าจะกำลังปวดหัวอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เพราะเขาเขากำลังเจอปัญหาในเรื่องที่ว่า จะทำยังไงกับตัวของ โรเมลู ลูกากู กองหน้าค่าตัวแพงที่ตอนนี้เหมือนว่าจะยังเล่นได้ไม่เข้ากับระบบของเชลซีในยุคที่เขาเป็นคนคุมทีมในความพยายามที่จะสร้างทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฤดูกาลนี้ของเชลซีที่ ทูเคิ่ล ได้วางโครงการเอาไว้จนถึงตอนนี้ โรเมลู ลูกากู กองหน้าผู้ซึ่งเป็นเจ้าของค่าตัวเป็นสถิติประจำช่วงซัมเมอร์นี้ที่ เชลซี ได้เซ็นสัญญานำตัวกลับมาอยู่กับสโมสรได้นั้น ก็ได้ถูกพบหลักฐานชิ้นโตว่าเขาได้ทำการแอบให้สัมภาษณ์แบบลับๆ ซึ่งเขาได้ระบายความคับข้องใจต่อสโมสรเอาไว้มาก และในขณะเดียวกัน เขาก็ได้สารภาพว่า เขายังรักและคิดถึงอินเตอร์ มิลานอย่างไม่รู้จบเลยทีเดียวลูกากูยังยอมรับด้วยว่าเขาคาดว่าจะได้ไปเล่นให้กับ ‘ทีมระดับท็อป’ อย่างเรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า หรือบาเยิร์น มิวนิค ก่อนจะโฟกัสไปที่เชลซีด้วยซ้ำ แต่ในที่สุดเมื่อทีมเหล่านั้นไม่ได้ติดต่อยื่นข้อเสนอเข้ามาหาเขา เขาก็เลยเลือกย้ายมาเชลซีแบบเสียไม่ได้ตอนนี้ถึงจะมีการแก้ข่าวออกมาแล้วว่า ลูกากู ไม่ได้ว่าร้ายอะไรมากมายถึงเชลซีในการสัมภาษณ์ และก็ไม่ได้มีใครสงสัยในความรักที่เขามีต่อเชลซีอีกแล้วก็ตาม แต่เขาโตมากับการเป็นแฟนบอลของสโมสรและต้องการประสบความสำเร็จที่สแตมฟอร์ด บริดจ์เสมอ มันอาจจะทำให้แฟนบอลยอมปล่อยวางเรื่องนี้ได้ แต่ว่าถ้ามองในเรื่องผลงานที่ ลูกากู ทำให้กับทีมนั้น เขายังไม่ได้ทำผลงานระดับคุณภาพคับแก้วปานนั้น ใช่แล้ว เขายังทำไม่ได้ .ตอนนี้ ทูเคิ่ล มีอันต้องปวดหัวอยู่กับงานที่ยากไม่รู้จบ ต้องมานั่งพยายามคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรกับลูกากู และเขาก็ได้เลือกให้ ลูกากู นั่งสำรองในเกมกับลิเวอร์พูลไปแล้วด้วย

เป็นที่เข้าใจกันว่า

ตอนนี้สิ่งที่ทูเคิ่ลโฟกัสมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นเรื่องการทำยังไงให้ทีมของเขาสามารถเอาชนะในทุกๆการแข่งขันได้ และเขายังอยากพาทีมคว้าตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้ด้วย และตัวของ ทูเคิ่ล ก็ “อาจจะ” ยังคงไว้วางใจนักเตะอย่าง ลูกากู ที่น่าจะช่วยทีมได้อย่างแน่นอน ด้วยทักษะ รูปร่าง เซนส์บอลประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีกที่มีอย่างโชกโชน มันก็น่าจะนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ ทูเคิ่ล ซื้อตัวเขามาอยู่กับทีมตั้งแต่แรกอย่างไรก็ตาม คุณไม่สามารถแก้ตัวแทนลูกากู ในเรื่องของพฤติกรรมที่ไม่พึคงประสงค์บางอย่างของ ลูกากู ได้อย่างแน่นอนเพียงเพราะเขาเป็นผู้เล่นที่เซ็นสัญญากับสโมสรด้วยค่าตัวแพงๆหรือเป็นกองหน้าโปรไฟล์ชั้นยอดหรืออะไรก็ตาม ทุกคนในทีมเชลซี ถูกคาดหวังให้แสดงผลงานที่ดีออกมา หรือถ้าไม่สามารถทำผลงานที่ดีได้ ก็ควรมีภาพลักษณ์ที่ดีไว้ก่อนคุณสามารถซ่อนบทสัมภาษณ์ที่แอบนินทาสโมสรไว้ได้แน่นอน และแม้ว่าคุณจะไม่ได้พยายามดูถูกเชลซีจนเกินไป แต่คุณก็ไม่สามารถพูดคุยถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในตอนนี้ ลูกากูจำเป็นต้องแสดงออกอย่างมืออาชีพและสนับสนุนทีมเชลซีและสนับสนุนทูเคิ่ลด้วย ไม่ใช่ชี้นิ้วบอกปัญหานั่นนี่ที่ตัวเองเจอในเชลซี

หากว่านี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น

กับผู้เล่นหน้าใหม่อย่างเช่น ซาอูล ญีเกซ ก็น่าคิดเช่นกันว่าเขาจะโดนลงดาบยังไง ถ้าหากว่าเปลี่ยนบทจาก ลูกากู มาเป็นซาอูลซะเองที่พูดว่า “ทูเคิ่ล มักจะพูดโทษผมเสมอ ที่ผมเริ่มต้นการเล่นได้อย่างย่ำแย่ที่สุด” – เขาก็อาจจะถูกปรับเงินและโดนตัดชื่อพ้นทีมไปแล้ว แฟนบอลเองก็อาจจะเห็นด้วยกับสิ่งนั้น แต่มันไม่เกิดขึ้นเพราะศักดิ์ศรี ค่าตัว และอะไรหลายอย่างมันค้ำคอลูกากูไงล่ะ แต่ถ้าจะให้ดี ทูเคิ่ล เองก็ควรต้องต้องพิจารณาที่จะลงโทษลูกากูให้หนักด้วยเช่นกันตอนนี้มันอยู่ที่ตัวของ ทูเคิ่ลแล้วล่ะว่า เขาจะจัดการระเบียบในห้องแต่งตัวยังไงดี และจะพยายามคอนโทรลนักเตะที่ไม่ค่อยจะอยู่ในโอวาทแบบที่ ลูกากู กำลังเป็นอยู่ได้ยังไงดี มันคือสิ่งที่หลายๆคนกำลังเฝ้ารอดูการเปลี่ยนแปลงในทีมชุดนี้อยู่

ผู้รักษาประตู & กองหลัง

แอรอน แรมส์เดลล์ (GK) – 6/10 – ควบคุมเกมรับในกรอบเขตโทษของเขาได้ดีโดยไม่จำเป็นต้องออกแรงให้มาก แต่โชคไม่ดีที่เกมนี้เขาเสียคลีนชีตที่เก็บได้มานานหลายเกมติดต่อกันไปซะแบบนั้นทาเคฮิโระ โทมิยาสุ (RB) – 8/10 – มอบหมายให้ตามประกบ สเตอร์ลิง เป็นงานเฉพาะ และทำได้ดีมากในเกมนี้เบน ไวท์ (CB) – 7/10 – กล้าออกมาตัดบอล ปะทะได้ดีแต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขายังมีปัญหาเรื่องสปีดและยังไม่ค่อยจะสามารถรับมือกับความว่องไวของตัวรุกซิตี้หลายๆคนกาเบรียล มากาฮาเอส (CB) – 4/10 – ครึ่งแรกเล่นได้น่าประทับใจ แต่การโดนใบแดงไล่ออกจากสนามของเขาเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาควรมีสติมากกว่านี้หลังจากโดนใบเหลืองไปแล้วหนึ่งใบ และยังเป็นคนทำให้ทีมเสียจุดโทษจนเกมพลิกด้วยคีแรน เทียร์นีย์ (LB) – 8/10 – โดยทั่วไปแล้วคือเล่นดี แอสซิสต์ได้ด้วย ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาอะไร คุมพื้นที่ทางด้านซ้ายได้ดี

กองกลาง

กรานิต ชาก้า (DM) – 5/10 – ครึ่งแรกแข็งแกร่ง แต่เลอะเทอะไปหน่อยหลังจากทีมเสียจุดโทษและดูเหมือนจะสูญเสียความเยือกเย็นไปพอควรหลัง นั้นโธมัส ปาร์เตย์ (DM) – 9/10 – เล่นได้แข็งแกร่ง เป็นตัวแทงค์ประจำทีมอย่างแท้จริง แต่มีปัญหาเวลาที่ได้พาบอลเซ็ตเกมบุกขึ้นหน้าด้วยตัวเองอยู่บ้าง แต่เกมรับนั้นโดดเด่นจริงบูกาโย่ ซาก้า (RM) – 7/10 – เจาะแนวรับทางขวาได้อย่างต่อเนื่อง และยิงได้ด้วยในเกมนี้มาร์ติน โอเดการ์ด (AM) – 6/10 – โชคไม่ดีที่ไม่ได้จุดโทษ แต่สามารถส่งผลกระทบต่อเกมในรูปแบบอื่นได้อยู่ โดยรวมวันนี้ยังเล่นไม่ค่อยออกนักกาเบรียล มาร์ติเนลลี่ (LM) – 7/10 – เล่นแบบไม่ได้กลัว เจา กานเซโล่ เลยสักนิด และใช้พลังงานของเขาในการเลี้ยงบอลไล่จี้แนวรับของซิตี้ได้ตลอด

กองหน้า

อเล็กซองเดร ลากาแซตต์ (ST) – 6/10 – เป็นอีกเกมหนึ่ง ที่เขาสามารถดึงเอาความสามารถของเพื่อนร่วมทีมของเขาออกมาได้มากขึ้น ด้วยการเคลื่อนไหวในกรอบที่ดีของเขา และใช้เซนส์บอลที่ชาญฉลาดในการเชื่อมเกม แต่โดนเปลี่ยนตัวออก เพื่อให้นักเตะเกมรับคนอื่นลงมาทำหน้าที่แทนเพราะ กาเบรียล โดนใบแดง

ตัวสำรอง

ร็อบ โฮลดิ้ง (CB) – 6/10 – ทำหน้าที่ในเรื่องการเล่นเกมรับได้ดีเอมิล สมิธ โรว์ (AM) – 6/10 – วิ่งทำเกมไปทั่ว ช่วยเกมรับได้ได้ดีเช่นกันโมฮาเหม็ด เอลเนนี่ (CM) – N/Aแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องเป็นฝ่ายไล่ตามหลังอาร์เซนอลก่อนในวันเสาร์ที่เพิ่งแข่งขันไปนี้ แต่เนื่องจากว่า เพราะการยิงประตูชัยได้แบบสุดหวุดหวิดเจียนตายในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจาก โรดรี้ มันทำให้พวกเขาเอาชนะอาร์เซนอล ไปได้สำเร็จด้วยสกอร์ฉิวเฉียด 2-1ทั้งสองฝ่ายเริ่มต้นเกมด้วยพลังเกมรุกใส่กันไปมาแบบสนุก กาเบรียล เฮซุส หวิดจะยิงได้ตั้งแต่ในช่วงไม่กี่นาทีแรก00000 และซิตี้เองก็สามารถรอดตัวจากจังหวะที่จวนเจียนจะเสียจุดโทษได้ หลังเกมผ่านไปราวๆสิบนาทีเมื่อ VAR ปฏิเสธที่จะให้อาร์เซนอลได้จุดโทษ โดยมันเกิดเหตุดราม่าขึ้นจากการที่ เอแดร์สัน ไปบวกฟาวล์ใส่ มาร์ติน โอเดการ์ดในในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็สนุกกับการครองบอลได้มากขึ้นและมีโอกาสมากขึ้น แต่อาร์เซนอลก็ไม่หมูเหมือนเลกแรก เพราะพวกเขากลับสามารถบุกใส่ซิตี้ได้ตลอด กดดันแนวรับของ ซิตี้ ได้อย่างหนักไม่แพ้กัน มันทำให้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่สามารถตั้งเกมกันได้ง่ายจริงๆ และพวกเขาก็ได้ประตูก่อนจนได้ในครึ่งชั่วโมงแรกบอลที่ผ่านมาให้จากเท้าของ คีแรน เทียร์นี่ย์ ไปเข้าเท้าของ บูกาโย่ ซาก้า ซึ่งหวดผ่าน เอแดร์สัน เสียบตาข่ายเข้าไปกาเบรียล มาร์ติเนลลี่ มีโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการจะลุ้นทำประตูที่สองได้ก่อนพักเบรก แต่น่าเสียดายที่มันหลุดกรอบไปแต่จากนั้นในครึ่งหลัง ริยาด มาห์เรซ ก็ยิงจุดโทษให้ซิตี้ตามตีเสมอได้ แล้วก็เป็นรายของ โรดรี้ ที่ซัดในช่วงนาทีที่ 93 เป็นประตูชัยเบียดอาร์เซนอลจนแพ้ไปในเกมนี้ก็ต้องชมจริงๆว่า อาร์เซนอล เล่นได้ดีคนละม้วนกับในการเจอกับซฺตี้ในเลกแรกจริงๆ และวันนี้เรามาดูคะแนนความสามารถของนักเตะอาร์เซนอลกันหน่อยดีกว่า ว่าพวกเขาสมควรได้กี่คะแนนกับความเป็นนักสู้ของพวกเขาในวันนี้ คะแนนความสามารถของนักเตะ อาร์เซนอล ในเกมปราชัยสุดหวิวให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้

หลังจากเริ่มต้นฤดูกาล 2021/22 ได้อย่างน่าประทับใจ ไล่กระซวกประตูคู่แข่งซะสนุกเท้านั้นดูเหมือนว่า เชลซี ก็เริ่มที่จะมีช่วงเวลาที่ผันผวนเล็กน้อยเช่นกันอันที่จริงแล้วนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาถูกประเมินคุณภาพของทีมสูงเกินไปหรือเป็นทีมระดับเทพประทับอะไรหรอก แต่ก็แค่ว่าทุกทีมต้องเจอปัญหาแย่ๆมาปะทนในบางช่วงเวลาบ้างเช่นกัน เชลซีเองก็หนีไม่พ้นกับสถานการณ์แบบนี้ แต่แล้วในที่สุดทัพ “เดอะ บลูส์ไ ก็เริ่มจะกลับมาแก้ตัวได้เร็วกว่าที่คิดไว้ เริ่มเค้นเอาความสามารถของพวกเขาออกมาใช้ในการปราบคู่ต่อสู้ได้มากขึ้นด้วยเช่นกันแต่ถึงกระนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะกลับมาเป็นทีมลุ้นแชมป์ได้อีกครั้งก็ตาม แต่บางทีถ้าดูดีๆ มันอาจจะสายเกินไปก็ได้ เพราะในช่วงเวลาที่เชลซีเริ่มทำแต้มตกหล่นไปนั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับมาโชว์ฟอร์มได้แบบไร้เทียมทานอีกครั้งแล้ว และดูเหมือนว่าจะไม่มีใครหยุดพวกเขาได้เลยในขณะนี้สิ่งที่พอจะทำให้ เชลซี พอจะเบ่งได้อยู่บ้างก็คือในขณะนี้ เชลซี มีแต้มเท่ากับลิเวอร์พูลก็จริง แต่พวกเขาไม่ได้มีสตาร์ระดับคุณภาพสูงมากนัก ถ้าให้เทียบกับลิเวอร์พูลที่ตอนนี้มียอดนักเตะเต็มทีมไปหมดอย่างไรก็ตาม “หงส์แดง” ก็จะต้องเสียผู้เล่นหลักสองคนนั่นคือ โม ซาลาห์ และซาดิโอ มาเน่ สองดาวยิงตัวเก่งไปทำหน้าที่ให้กับทีมชาติของตัวเองในศึก AFCON ในเดือนหน้า ในขณะที่เชลซี ก็จะต้องปล่อย เอดูอาร์ด เมนดี้ ไปทำหน้าที่เช่นกันเมื่อนักเตะดาวเด่นของทีมตัวเองไม่อยู่ และลิเวอร์พูลก็เริ่มอ่อนกำลังลงอย่างชัดเจน มันน่าจะเป็นโอกาสสำหรับเชลซีที่จะประกาศศักาได้อีกครั้งในการแข่งขันเพื่อลุ้นชิงตำแหน่งแชมป์กลับมาให้ได้ และต้องหวังพึ่งเหล่ากองหน้าดาวดังในทีมเพื่อไล่ตามแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ให้ทัน

และในเกมนี้ พวกเราก็ต้องยกย่อง โรเมลู ลูกากู

ด้วยเช่นกัน เพราะยามที่ทีมต้องการความสามารถในการยิงประตูพลิกเกมได้นั้น เขานี่แหละที่สามารถเป็นตัวเอกให้กับทีมได้ พลิกสถานการณ์ได้นักเตะชาวเบลเยี่ยมรายนี้ สามารถพลิกเกมให้กับเชลซีได้ ในเกมที่พวกเขาเอาชนะ แอสตัน วิลล่า 3-1 ในวันบ็อกซิ่งเดย์ เขาเล่นงานนักเตะแบ็คโฟร์ของวิลล่าได้มากที่สุด เขาทำประตูได้จากจังหวะโหม่งบอลโฉบตัดหน้ากองหลังวิลล่า และที่สำคัญคือเขาอาศัยความแข็งแกร่งในการพาบอลเข้าไปในเขตโทษได้ และเรียกฟาวล์จนทำให้ทีมได้จุดโทษ ทำให้ทีมได้สามแต้มที่สำคัญในเกมนี้จนได้และนี่ก็ถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดของลูกากูตั้งแต่เขากลับมาที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ในช่วงซัมเมอร์ และหลังจากที่ เชลซี ต้องอดทนอย่างหนักกับช่วงเวลาหนึ่งที่ฟอร์มของเขาไม่ดีเท่าไหร่และยังมีอาการบาดเจ็บรบกวน แต่ตอนนี้เขาต้องการพิสูจน์ว่าเขามีค่าพอที่จะเล่นให้กับสโมสรที่เจ้าตัวเคยอยู่มาตั้งแต่ในวัยเด็ก และยังยอมที่จะจ่ายเงินถึง 98 ล้านปอนด์เพื่อเซ็นสัญญาดึงเขากลับมาอยู่ในทีม

ในเกมนี้ ลูกากู

เล่นได้ดี ทั้งพักบอล ดึงตัวประกบ แทงค์ฝ่ายตรงข้าม แต่ถ้าให้พูดตามตรง ผลงานของเขาก็ยังห่างไกลสถิติของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา และ ดิเอโก้ คอสต้า ในสมัยที่ยังเป็นกองหน้าให้กับทีม ซึ่งทั้งคู่ประสบความสำเร็จแบบสุดๆในช่วงเวลาสองทศวรรษที่ผ่านมาที่น่าสังเกตคือ เชลซี ไม่เคยคว้าแชมป์ลีกได้เลยหากไม่มีสองคนนั้นเป็นกองหน้าในทีม และตอนนี้ลูกากูเองก็มีโอกาสที่จะเขียนชื่อของเขาลงในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรด้วยเช่นกัน ถ้าเขาได้แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้หลังจากย้ายออกจากอินเตอร์ ซึ่งเขาได้แชมป์เซเรีย อาเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เขาก็หวังว่าจะใช้ประสบการณ์อันมีค่าที่เขามี ในการนำมาใช้ในการยกระดับทีม ทำให้พวกเขากลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้ หลังจากที่พวกเขาได้ล่าสุดก็คือในฤดูกาล 2016-17สถิติ 2 ประตูในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ของ ลูกากู อาจจะน่าเป็นห่วง แต่ถ้าเขาฟอร์มเข้าฝักสุดๆล่ะก็ มันก็ยากที่จะหาใครมาหยุดเขาได้เช่นกัน

วิลเลียม กาลลาส

ตอนแรกนั้น กาลลาส ก็ยังพอจะมีอะไรดีๆให้เห็นอยู่บ้าง ทั้งการทำหน้าที่เป็นกองหลังตัวหลักของทีม พยายามประคองรุ่นน้องในทีมให้ไปจนถึงที่สุด พยายามเค้น “ลีดเดอร์ชิพ” หรือความเป็นผู้นำในตัวเองให้มันออกมาจนถึงที่สุด แต่กระนั้นแล้ว ความกดดัน และความที่เป็นแค่ “ทองเก๊” ในตัวของ กาลลาส ก็ปรากฏให้เห็นชัดขึ้น ทั้งตอนที่ทีมโดนยิงนำ แทนที่เจ้าตัวจะปลุกใจเพื่อน แต่กลับ “ร้องไห้” อย่างกับเด็ก เริ่มพูดโทษคนนั้นคนนี้ในทีมจนเสียความน่าเชื่อถือในห้องแต่งตัวไป ท้ายที่สุดก็ไปไม่รอด

เชส ฟาเบรกัส

จอมทัพชาวสปนที่มีเชิงบอลสูง จ่ายบอลสั้นยาวแม่นยำ ยิงไกลคมกริบ เซนส์บอลในการทำเกมก็อยู่ในระดับอัจฉริยะเลยทีเดียว อยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 2003 และได้คาดปลอกแขนกัปตันทีมในช่วงที่กาลลาสโดนโค่นอำนาจ ตอนแรกก็ดูทำท่าว่า ฟาเบรกัส อาจจะเป็นที่รักของแฟนบอล แต่เมื่อเจ้าตัวทนความยั่วยวนของ บาร์เซโลน่า ทีมเก่าของตัวเองไม่ไหว ก็เลยเก็บข้าวของย้ายกลับสู่บาร์ซ่าในปี 2011 แบบไม่แคร์ปลอกแขน ซึ่งก็ทำให้แฟนบอลอาร์เซนอลถึงกับเผาเสื้อฟาเบรกัสเป็นการระบายแค้นเลยทีเดียว

โรบิน ฟาน เฟอร์ซีย์

อดีตกองหน้าซ้ายดินระเบิดที่ซึ่งโชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในฤดูกาลเดียวที่เขาได้ทำหน้าที่กัปตันทีมอาร์เซนอล โดยในฤดูกาล 2011-12 เขาได้คาดปลอกแขนกัปตันทีม แถมยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนได้รางวัลดาวยิงสูงสุดของพรีเมียร์ลีกมาครองเป็นสมัยแรก แต่สุดท้ายเขาเองก็ได้ตัดสินใจย้ายออกจากอาร์เซนอลไปเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อสานฝันในการป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกแทน

โธมัส แฟร์มาเล่น

อดีตกองหลังเท้าหนักที่ซึ่งตอนสมัยที่ยังพีคๆ ไม่ได้บาดเจ็บบ่อยนั้น เขาเป็นกองหลังเชิงสูงที่อ่านเกมดี ทางบอลดี เข้าบอลได้หนัก แถมยังจ่ายบอลยาวได้แม่นยำสุดๆ แต่กระนั้นแล้วในช่วงเวลาที่คาดปลอกแขนกัปตันทีม เขามีอาการบาดเจ็บรบกวนบ่อยๆ แต่ก็มีโอกาสย้ายไปเล่นให้กับบาร์เซโลน่าแบบงงๆด้วยในปี 2014

มิเกล อาร์เตต้า

เขาย้ายมาเป็นตัวห้องเครื่องให้กับอาร์เซนอล หลังจากที่ระเบิดฟอร์มกับเอฟเวอร์ตัน แต่ว่าอาร์เตต้านั้น มีอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดทำให้เขาได้ลงสนามบ้าง ไม่ได้ลงเล่นบ้าง เลยทำให้อาร์เตต้า แขวนสตั๊ดไปกับอาร์เซนอลในที่สุด แต่เขาก็ได้กลับมายังสโมสรอีกครั้งเพื่อคุมทีมในปัจจุบันนั่นเอง

แพร์ เมแตร์ซัคเกอร์

กองหลังดีกรีแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 เขาได้รับเกียรติให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมอาร์เซนอลในช่วงโค้งสุดท้ายของชีวิตค้าแข้ง แล้วก็แขวนสตั๊ดไปแบบที่แฟนบอลรักเขาแบบสุดใจ และเมื่อเลิกเล่น เขาก็ได้มาทำงานในบทบาท ผู้อำนวยการของอคาเดมี่อาร์เซนอลจนถึงตอนนี้

โลรองต์ กอสเชียลนี่

ปราการหลังชาวฝรั่งเศสที่ได้ทำหน้าที่ให้กับทีมอยู่หลายฤดูกาล แต่เมื่อเขาได้รับหน้าที่เป็นกัปตันทีม เขาเองก็มีอาการบาดเจ็บรบกวนเอยๆ จนกระทั่งว่าเขาตัดสินใจยุติช่วงเวลากับอาร์เซนอลและย้ายไปเล่นให้กับ บอร์กโดซ์ ในลีกบ้านเกิด

กรานิต ชาก้า

มิดฟิลด์จอมห้าวที่ทุกวันนี้ก็ยังอยู่กับทีม ตอนแรกนั้น อูไน เอเมรี่ ได้วางตัวของ ชาก้า เป็นกัปตันทีมเพราะเชื่อมั่นในเรื่องความดุดันในการเล่นเกมรับในแดนกลาง เป็นกองกลางสายบู๊ ไม่กลัวใคร หวังจะเห็นเขาเป็นเหมือน วิเอร่า แต่สุดท้ายนั้นหมอนี่ก็แค่นักบอลจ้าวอารมณ์ที่เสียฟาวล์และโดนใบแดงบ่อยๆ และยังเคยมีเรื่องทะเลาะกับแฟนบอลฝั่งตัวเอง และถึงขั้นถอดปลอกแขนกัปตันทีมและปาลงพื้นตอนโดนเปลี่ยนตัวออกด้วย ท้ายที่สุดเขาก็โดนปลดจากการเป็นกัปตันทีม

ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง

เพิ่งจะโดนปลดออกจากการทำหน้าที่กัปตันทีมเป็นรายล่าสุด เพราะทำตัวขาดวินัยในหลายๆครั้ง และว่ากันตามตรง ตั้งแต่เขาขยายสัญญากับทีม โอบาเมยอง ก็ไม่เคยกลับมาเล่นได้ดีอีกเลย

ด้วยอาการบาดเจ็บและโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับสโมสรเชลซีเมื่อเร็วๆ นี้ มันเลยทำให้ตัวเลือกนักเตะในทีมเชลซ๊น้อยลงจนแทบจะจัดตัวได้ลำบาก มันทำให้ โธมัส ทูเคิ่ล ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันแทบจะไม่มีทางเลือกอื่นอีก นอกจากต้องติดต่อไปยังอคาเดมี่ของสโมสร เพื่อขอการสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับการส่งนักเตะดาวรุ่งที่พอเชื่อได้ มาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ในฟุตบอลถ้วยคาราบาว คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศในวันพุธกับเบรนท์ฟอร์ดเด็กดาวรุ่งหน้าใสและหน้าเปื้อนสิวจำนวนมาก ถูกเรียกตัวเพื่อมาร่วมฝึกซ้อมกับทีมและมีถึงสามคนเลยที่ได้เริ่มลงเล่นในเกมดังกล่าวซาเวียร์ ไซมอนส์ ที่ซึ่งเป็นดาวรุ่งที่โชว์ความเก่งกาจในระดับทีมเยาวชนมาโดยตลอด ได้เริ่มต้นลงล่นในตำแหน่งแบ็คขวา และจู๊ด ซูนซับ-เบลล์ กองหน้าดาวรุ่งก็ได้รับโอกาสเช่นกันแต่กระนั้นแล้ว นักเตะที่ว่ากันว่าแฟนบอลดูจะฮือฮามากที่สุด กลับเป็นคนที่สาม นั่นคือตัวรุกที่มีชื่อว่า ฮาร์วีย์ เวล ที่ฉายแววเจิดจ้าที่สุดในสนามด้วยการเริ่มต้นในบทบาทของจอมทัพหมายเลข 10 ร่วมกับ รอสส์ บาร์คลีย์ ตัวของเวลนั้นทำผลงานได้น่าประทับใจมากกว่าผู้เล่นหมายเลข 10 รุ่นพี่อย่าง บาร์คลีย์ ที่แก่กว่าเขา 10 ปีเป็นอย่างมาก ทั้งเชื่อมเกมและมีส่วนร่วมกับการทำเกมเพื่อลุ้นให้กองหน้าของทีมลุ้นยิงประตูได้เวล เชื่อมเกมได้ดีจากแดนกลางถึงแดนหน้า เล่นได้เข้าขากับ ซูนซับ-เบลล์ โดยพวกเขามีเวลาได้ซ้อมเล่นร่วมกันในทีมเยาวชนมานาน มันได้ส่งผลอย่างชัดเจน และเขาอาจจะรู้สึกผิดหวังไปบ้าง เพราะจังหวการโหม่งครั้งแรกของเขาในครึ่งแรกของเกม มันควรเป็นประตูจริงๆเขาอาจไม่ได้มีชื่ออยู่บนสกอร์บอร์ดในฐานะนักเตะที่ยิงประตูได้ในเกม แต่ เวล ก็ได้สร้างความประทับใจอันไม่รู้ลืมให้แฟนบอลได้เห็น ซึ่งจะดึงดูดสายตาของทูเคิ่ลมากกว่านี้อย่างแน่นอน

ทักษะการเชื่อมเกมระหว่างกองกลางกับกองหน้า

เป็นสิ่งที่ขาดหายไปจากการเล่นของเชลซีในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาใครก็ตามที่ได้เริ่มต้นออกสตาร์ทในช่วงก่อนหน้านี้ทั้ง – คริสเตียน พูลิซิช ไม่สามารถทำให้ โรเมลู ลูกากู, ติโม แวร์เนอร์ และไค ฮาแวร์ตซ์ เล่นได้ง่ายเลย ตัวของพูลิซิชทำเกมรุกตรงกลางด้วยตัวเองไม่ไหว เขาปล่อยให้กองหน้าตัวเป้าของทีมดูโดดเดี่ยวบ่อยเกินไปและสุดท้ายจังหวะลุ้นทำประตูแบบจังๆก็ไม่เกิดขึ้นเชลซีต้องอาศัย 2 จุดโทษของ จอร์จินโญ่ เพื่อยิงประตูแซงลีดส์จนชนะ ก่อนที่พวกเขาจะสะดุดกับเอฟเวอร์ตัน 1-1 ซึ่งพวกเขามีโอกาสทำประตูเยอะมาก แต่ทำไม่ได้ และการที่ทำได้แค่เสมอกับ วูล์ฟส์ แบบไร้สกอร์ในช่วงสุดสัปดาห์ก็ทำให้ปัญหานั้นเพิ่มขึ้น การได้กองหน้าตัวใหม่อย่าง ลูกากู เข้ามาอยู่ในทีม ไม่รู้นั่นคือการแก้ปัญหาที่แท้จริง หรือเป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นกันแน่

เมื่อเทียบกับเกมที่สู้กับ เบรนท์ฟอร์ด บาร์คลีย์

จะเป็นนักเตะผู้ที่ถูกคาดหวังให้เป็นตัวสร้างสรรค์เกม เขาเป็นกองกลางรุ่นพี่คนเดียวจากไลน์อัพทีมชุดใหญ่ ที่มีชื่อมาช่วยน้องๆนักเตะหน้าใหม่อยู่ในรายชื่อผู้เล่นตัวจริงในเกมนี้ และเขายังได้รับมอบหมายให้ช่วย เวล ในบทบาทจอมทัพหมายเลข 10 ด้วยแต่ในทางกลับกัน เวล กลับทำผลงานได้ดูน่าประทับใจกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งพิสูจน์ให้ ทูเคิล ได้เห็นแล้วว่าเขาไม่ต้องกังวลที่จะต้องไปหานักเตะคนไหนอีก เพราะอคาเดมี่ของทีมพร้อมสนับสนุนเขาในเรื่องนักเตะชั้นดีอยู่แล้วแต่เราก็เห็นกันได้ชัดอยู่แล้วว่า โอกาสในการจะได้ลงเล่นของ เวล นั้นก็ยากที่จะเกิดขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะในทีมของทูเคิ่ลที่มีอัตราการแข่งขันสูงมาก ฮาแวร์ตซ์ , แวร์เนอร์ , บาร์คลีย์ และพูลิซิช ยังอยู่กันครบพูลิซิช ยังต้องแข่งขันกับ คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย, เมสัน เมาท์ และ ฮาคิม ซิเยค ด้วยอีก เท่านี้ก็ยากอยู่แล้ว เราก็ได้แต่หวังว่าเจ้าหนูเวลจะได้รับโอกาสเรื่อยๆ เพื่อแสดงศํกยภาพออกมามากกว่านี้

มาร์โก ฟาน บาสเท่น “นิว โยฮัน ครัฟฟ์”

ตำนานดาวยิงเจ้าของฉายา “เพชฌฆาตพรายกระซิบ” เขาเป็นสุดยอดกองหน้าหมายเลข 9 ที่ครบเครื่อง สองเท้าที่ยิงประตูได้คมกริบ ลูกโหม่งทรงพลัง มีลีลาการเลี้ยงบอลที่พลิ้วไหว ชั้นเชิงสูง ไปกับบอลได้ดี จะเลี้ยงบอลไปยิงเองหรือเข้าฮอร์ส แท็บอินก็ได้ทั้งหมดในสมัยที่เขาแจ้งเกิดขึ้นมาจากทีมเยาวชนอาแจ็กซ์ ตัวของ ฟาน บาสเท่น ยังเล่นในบทบาทของมิดฟิลด์ตัวรุกหมายเลข 10 หรือตัวหน้าต่ำอยู่เลย ซึ่งในลักษณะการเล่นของเขา ตำแหน่งการยืน และยังใส่เบอร์ 9 บ้าง 10 บ้างในเวลานั้นที่หมายเลขเสื้อยังไม่มีการล็อกให้เป็นของนักเตะคนใดคนหนึ่ง เขาเลยได้รับการนำตัวไปเทียบกับ โยฮัน ครัฟฟ์ สุดยอดตำนานของสโมสรและทีมชาติฮอลแลนด์แต่ว่า ฟาน บาสเท่น ก็ได้รับการปรับบทบาทโดย ครัฟฟ์ ที่ตอนนั้นผันตัวมาเป็นโค้ช และทำให้ ฟาน บาสเท่น เปลี่ยนมาเป็นกองหน้าตัวเป้า ซึ่งส่งผลให้เขาระเบิดตาข่ายเป็นว่าเล่น ได้รางวัลดาวซัลโวในหลายๆสถาบัน และยังได้บัลลงดอร์ถึง 3 สมัยเช่นเดียวกับครัฟฟ์

ซีเนอดีน ซีดาน “นิวพลาตินี่”

ตำนานเพลย์เมกเกอร์หัวไข่ดาวที่ว่ากันว่ามีลีลาการเลี้ยงบอล ครองบอล ที่สวยงาม มากไปด้วยเทคนิค จ่ายบอลให้เพื่อนเล่นงาน ใช้เท้าสองข้างได้ดี ยิงประตูไม่เยอะ แต่ว่าแต่ละประตูที่ยิงได้นั้น “งามทุกลูก”ในสมัยที่เป็นดาวรุ่งของทีมชาติฝรั่งเศส และยังได้ย้ายมาเล่นให้กับยูเวนตุส ซีดาน ได้รับการยกย่องในเรื่องฝีเท้าและยังโดนนำตัวไปเทียบชั้นกับ มิเชล พลาตินี่ ตำนานจอมทัพหมายเลข 10 ชาวฝรั่งเศสที่เคยเล่นให้กับยูเวนตุสมาก่อน ได้แชมป์ยูโร 1984 กับทีมชาติฝรั่งเศสด้วยซีดาน อาจจะด้อยกว่า พลาตินี่ แค่เรื่องที่ว่า ยิงประตูไม่ได้มากเท่าพลาตินี่ บัลลงดอร์ก็ได้แค่ 1 ครั้ง ส่วนพลาตินี่ได้ไป 3 สมัย แต่แฟนบอลกลับยกย่อง ซีดาน สุดใจ เพราะเจ้าตัวยืนระยะได้ยาวนาน คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่าไปครองถึง 3 สมัย และที่สำคัญ “เขาได้แชมป์ฟุตบอลโลก” ซึ่งเป็นสิ่งที่พลาตินี่ไม่เคยสัมผัสกับมัน

ลิโอเนล เมสซี่ “นิวมาราโดน่า”

เทพเจ้าลูกหนังคนปัจจุบันชาวอาร์เจนติน่า ที่สร้างตำนานและสถิติต่างๆเอาไว้แบบถล่มทลายทั้งกับบาร์เซโลน่า และ ทีมชาติอาร์เจนติน่า เลี้ยงบอลติดเท้า รวดเร็ว มีเท้าซ้ายที่พลิ้วไหว รูปร่างเล็กแต่แข็งแกร่ง ยิงประตูเฉียบขาด ผ่านบอลคม ฟรีคิกสุดยอด มันเลยทำให้ เมสซี่ โดนนำตัวไปเทียบชั้นกับ ดิเอโก้ มาราโดน่า สุดยอดตำนานจอมทัพหมายเลข 10 ผู้ล่วงลับสไตล์การเล่น ตำแหน่งการยืน เท้าถนัด รูปร่าง ทั้งเมสซี่และมาราโดน่าแทบจะก๊อปปี้กันมา มาราโดน่า อาจจะเด่นในเรื่องความเป็นผู้นำและได้แชมป์โลก ส่วนเมสซี่นั้นเคยได้แค่รองแชมป์โลก แต่ว่าในระดับสโมสร เขาฟาดเรียบทุกแชมป์ รางวัลบัลลงดอร์ 6 สมัยก็คว้ามาแล้ว สร้างตำนานของตัวเองได้แล้ว ไม่มีอะไรต้องคิดเยอะอีก

ฮาเมส โรดริวเกวซ “นิววัลเดอร์ราม่า”

จอมทัพหมายเลข 10 ทีมชาติโคลอมเบีย มีเท้าซ้ายที่ทรงพลัง ยิงได้คม แรง ผ่านบอลสั้นยาวแม่นยำ มีเซนส์บอลระดับอัจฉริยะเลยทีเดียว เขาได้รับการนำตัวไปเทียบกับ คาร์ลอส วัลเดอร์ราม่า ตำนานจอมทัพหัวฟูของยุค 90วัลเดอร์ราม่า มีทักษะการเล่นในระดับสูง จ่ายบอลสั้นยาวแม่นยำ ชอบการแอสซิสต์มากกว่ายิงเอง แต่ว่าตัวของ ฮาเมส มีทักษะในการทำประตูที่มากกว่าและยังประสบความสำเร็จในแง่ของแชมป์ด้วย มันเลยทำให้เขาแซงหน้า “กุลลิทขาว” ไปแล้วฮาเมส โรดริเกวซ , คาร์ลอส วัลเดอร์ราม่า , ลิโอเนล เมสซี่ , ดิเอโก้ มาราโดน่า , มิเชล พลาตินี่ , ซีเนอดีน ซีดาน , มาร์โก ฟาน บาสเท่น , โยฮัน ครัฟฟ์ , บาร์เซโลน่า , เอ

เซร์จินโญ่ เดสต์ (แบ็กขวา)

ว่ากันตามตรง เหมือนว่าเคมีของนักเตะมะกันกับบาร์เซโลน่า มันก็ไม่ได้เข้ากับสโมสรมาเป็นเวลานานแล้ว และแน่นอนว่า เดสต์ ก็น่าจะเข้าข่ายนั้น ตัวของฟูลแบ็กชาวอเมริกันรายนี้ ก็ต้องยอมรับกันตามตรงว่าถึงเขาจะมีทักษะดีแค่ไหน แต่คลาสบอลของเขามันยังไม่ถึงขั้นว่าจะเล่นให้กับบาร์เซโลน่าได้จริงๆตลอด 1 ปีครึ่งที่เขาอยู่กับบาร์เซโลน่ามานั้น เขามีปัญหาทั้งเรื่องการเล่นเกมรับ และยังไม่ฉลาดในเวลาเล่นเกมรุกเท่าไหร่ อีกทั้งความแข็งแกร่งของร่างกายก็เป็นอุปสรรคในการเล่นอย่างชัดเจน เขาบาดเจ็บบ่อย ทำให้ไม่สามารถแสดงศักยภาพที่ดีเหมือนสมัยอยู่กับอาแจ็กซ์ออกมาได้เขายังอายุน้อย มีสัญญากับบาร์ซ่าเหลืออีกพอสมควร ถ้าจะขายก็น่าจะขายได้ราคางามอยู่

ซามูเอล อุมติตี้ (กองหลังตัวกลาง)

ไร้ประโยชน์สุดๆสำหรับกองหลังตัวกลางรายนี้ ตั้งแต่เขาหายจากอาการบาดเจ็บเส้นเอ็นหัวเข่า เขาก็ไม่เคยกลับมาเล่นได้ดีอีกเลย แถมยังมีปัญหาเรื่องค่าเหนื่อยแพง สโมสรพยายามจะขายทิ้งออกจากทีมมาตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ เจ้าตัวก็งอแงไม่อยากย้าย พอได้อยู่ต่อก็ไม่ค่อยได้ลงสนาม เมื่อได้ลงก็ทำผลงานได้แย่ มันแทบจะไม่เหลือโอกาสให้ อุมติตี้พิสูจน์ตัวเองแล้วตอนนี้ บาร์เซโลน่า ต้องพยายามหาทางปล่อยเขาออกจากทีมในเดือนมกราคมนี้เท่านั้น จะขายได้สักกี่ล้านก็ต้องทำ

ลุค เดอ ยอง (กองหน้าตัวเป้า)

ซื้อมเป็นกองหน้าหรือเป็นภาระในแดนหน้าก็ไม่ทราบ เพราะนักเตะรายนี้นอกจากว่าจะไร้ทักษะการยิงประตูด้วยเท้าแล้วนั้น เขายังไม่สามารถใช้ลูกโหม่งที่เป็นทีเด็ดของตัวเองในการพักบอลหรือโหม่งทำประตูได้เลยเรียกว่าเราคงต้องโทษสายตาอันสุดแสนจะห่วยแตกของ โรนัลด์ คูมัน อดีตผู้จัดการทีมที่ดันไปการันตีกับบอร์ดบริหารว่า ลุค เดอ ยอง ผู้นี้สามารถช่วยยกระดับแดนหน้าได้ดี แต่จนแล้วจนรอด หมอนี่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตอนนี้บาร์เซโลน่า ควรจะทำอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือปล่อยนักเตะรายนี้กลับคืนทีมเซบีย่าด้วยการยกเลิกสัญญายืมตัวเท่านั้น

ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ (กองกลางตัวรุก)

ผ่านมา 3 ปีเต็มแล้วกับตัวของ คูตินโญ่ เขาอาจจะเป็นจอมทัพดีกรีสูงที่เคยระเบิดฟอร์มในทีมลิเวอร์พูล และทีมชาติบราซิลมาก่อนก็จริง แต่ว่าพอย้ายมาบาร์ซ่า เขากลับไม่สามารถเล่นด้วยฟอร์มที่ดีได้เลย ค่าตัวแพง ค่าเหนื่อยแพง แต่ไม่สามารถเล่นได้คุ้ม นอกจากนี้ยังบาดเจ็บบ่อยด้วยอีก มันไม่ไหวแล้วชาบี้ ได้ย้ำชัดเจนแล้วว่าแผนการทำทีมของเขา จะไม่มีจอมทัพเลือดแซมบ้ารายนี้ และคาดว่าบาร์เซโลน่า ก็น่าจะรู้แล้วว่าพวกเขาควรจะปล่อยนักเตะรายนี้ไปที่ไหนในพรีเมียร์ลีก มีหลายสโมสรแสดงความสนใจในตัวของเพลย์เมกเกอร์รายนี้ โดยเฉพาะกับนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ทางบาร์ซ่าควรอาศัยจังหวะนี้ในการรีดเงินให้ได้มากที่สุด

“ผมมีความเชื่ออย่างเต็มที่ว่าเขาจะเป็นนักเตะระดับท็อป นักเตะระดับโลก และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะเป็นตำนานของอาร์เซนอล ผมถือว่าเขาเป็นนักเตะที่คลาสบอลสูงจริงๆ และจากมุมมองของผม ผมอยากให้เขาอยู่ต่อ” – มิเกล อาร์เตต้านั่นคือคำพูดของมิเกล อาร์เตต้า กุนซืออาร์เซนอลคนปัจจุบัน ที่เคยพูดเอาไว้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อเขาถูกกดดันให้ตัดสินใจคอมเม้นเกี่ยวกับอนาคตของ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ กองหน้าจากทีมเยาวชนอาร์เซนอลนักเตะรายนี้ เพิ่งจะอยู่ในวัย 22 ปี ก้าวขึ้นมาจากระบบทีมเยาวชนของสโมสร แต่กลับมีบทบาทแสนจะจืดจางในทีมแบบสุดๆ แทบจะหายไปจากทีมเลยด้วยซ้ำ แถมมีรายงานข่าวด้วยว่า เขาได้ปฏิเสธข้อเสนอขยายสัญญาของอาร์เซนอลมาแล้ว ซึ่งข้อตกลงของเขาในสัญญาฉบับปัจจุบัน มันกำลังจะหมดลงเมื่อถึงช่วงสิ้นสุดฤดูกาลนี้

และสาเหตุที่ทำให้เขาไม่อยากต่อสัญญา

ก็เนื่องจากเขาขาดเวลาในการลงเล่นที่มากพอแต่ว่า ณ เวลานี้ กองหน้ารายนี้กำลังเพลิดเพลินกับยุคสมัยใหม่ของทีม เขาเริ่มแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่มีในตัวเองออกมาได้มากขึ้นแล้วจากในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และเขาก็พาตัวเองถึงจุดสุดยอดในการเป็นกองหน้าเสียที โดยที่ดาวเตะวัย 22 ปีรายนี้เพิ่งจะทำ “แฮตทริก” ให้กับอาร์เซนอล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศของถ้วยคาราบาว คัพ ได้สำเร็จด้วยการไล่ยำ ซันเดอร์แลนด์ ปางตาย 5-1 ในเกมล่าสุดตอนแรกนั้น แฟนบอลก็มีการเลิกคิ้วสงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะตำแหน่งการยืนของทีมมันแปลกๆ ตั้งแต่เริ่มเล่นนั้น ทุกคนก็เห็นชัดเลยว่า เอ็นเคเทียห์ ได้ลงเล่นตรงกลางโดยมี โฟลาริน บาโลกุน ตัวรุกดาวรุ่งอายุ 20 ปีอีกราย ได้เล่นทางซ้าย ซึ่งมันก็มีข้อดีอยู่บ้างในเรื่องที่ว่า ไหนๆถ้าหากว่า เอ็นเคเทียห์ อยากจะย้ายทีมตอนสิ้นสุดซีซั่น งั้นขอวัดแววความสามารถก่อนย้ายก่อนดีกว่า ด้วยการให้เขาเล่นเป็นกองหน้าตัวกลางตามถนัดเลย ว่าจะแสดงฝีเท้าและศักยภาพได้มากแค่ไหนแต่อาร์เตต้ามองว่า ในการแข่งขันเมื่อเย็นนี้น่าจะเป็นการทำให้เขาสามารถเช็คสไตล์และความสามารถของ เอ็นเคเทียห์ ได้แบบชัดเจนมากขึ้นมากกว่า ซึ่งกล่าวกันว่าอาร์เซนอล ดูยังไงก็เหนือกว่าฝั่งของซันเดอร์แลนด์ ที่เป็นแค่ทีมจากลีกวันแน่นอน และในเกมนี้ เอ็นเคเทียห์ ถ้าจะเล่นดีก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะซันเดอร์แลนด์ไม่ใช่ทีมระดับพรีเมียร์ลีก ระดับเอ็นเคเทียห์ ยังไงก็ต้องยิงได้ เพียงแต่อาร์เตต้า อยากจะเช็คอะไรหลายๆอย่าง ถ้าหากว่าเขาวางตัวนักเตะรายนี้ ให้เล่นในบทบาทกองหน้าตัวกลางเป้าหมายที่ชัดเจนของ อาร์เตต้า อีกอย่างก็คือการอาศัยเกมนี้ เป็นเกมซ้อมระบบเข้าทำมากกว่า ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถเพลิดเพลินกับการสร้างโอกาสในการยิงประตูได้มากขึ้นเหมือนกับในการซ้อมที่เซ็นเตอร์ของสโมสร และเมื่อการทดลองระบบเสร็จสิ้นไปด้วยดี การจะเกลี้ยกล่อม เอ็นเคเทียห์ เพื่อให้เขายอมขยายสัญญาอยู่กับทีมต่อไป ก็ไม่น่าใช่เรื่องยากเช่นกัน เพราะบางทีเอ็นเคเทียห์อาจจะเนื้อเต้นจากการทำผลงานที่ยอดเยี่ยมในเกมนี้ จนอาจจะอยากพิสูจน์ตัวเองด้วยการเล่นบนเวทีที่ใหญ่ขึ้น เช่นการยิงแฮตทริกในพรีเมียร์ลีกให้ได้ในสีเสื้ออาร์เซนอล

จุดด้อยในเกมนี้ของ เอ็นเคเทียห์

อาจจะเป็นเรื่องทักษะฟุตบอลในแง่อื่นๆมากกว่า เขายังไม่สามารถเชื่อมเกมกับเพื่อนได้ดีเท่าไหร่นัก ไม่สามารถต่อบอลหรือทำทางได้ดี แต่พอบอลมาเข้าเท้าของเขาเมื่อไหร่ เขาสามารถใส่สกอร์ได้ทันที อย่างไรก็ตาม ความจริงของเรื่องนี้ก็คือทีม อาร์เซนอล ในตอนนี้ยังขาด “หมายเลข 9 ธรรมชาติ” ที่สามารถทำประตูให้กับทีมได้แบบถล่มทลายทั้งตัวของ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ที่ส่อแววหมดอนาคตกับทีมแน่ๆแล้ว หรือจะเป็น อเล็กซองเดร ลากาแซตต์ ที่กำลังจะย้ายทีม บางทีถ้าหากว่ามันมาถึงระดับนี้แล้ว บางทีถ้าหากอาร์เตต้าสามารถกล่อม เอ็นเคเทียห์ให้อยู่ต่อได้นั้น อาร์เตต้า อาจจะมีหมายเลข 9 ที่วางใจในระยะยาวได้ อยู่ในทีมมาแต่แรกแล้วก็ได้นะ!

23. นิค โป๊ป

เป็นเรื่องยากที่จะต้องทำการเลือกผู้รักษาประตูคนใดคนหนึ่งลงสนาม แต่ว่า นิค โป๊ป น่าจะสามารถเบียดทั้ง แซม จอห์นสโตนส์ และตัวของ ดีน เฮนเดอร์สัน เป็นตัวสำรองในทีมชาติตอนนี้ได้ เพราะเขาได้ลงเล่นเป็นประจำในพรีเมียร์ลีกมากกว่า 2 รายที่ว่า

22. ไทโรน มิงส์

มิงส์ ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลจากปัจจัยหลักสามประการ – เขาตัวใหญ่ เขาเป็นนักเตะที่เล่นบอลด้วยเท้าซ้าย และเขาเป็นนักเตะที่มีความเป็นผู้นำสูง เป็นกองหลังที่แทบจะไม่เคยก่อความผิดพลาด น่าทึ่ง น่าจะพร้อมสำหรับการไปเล่นฟุตบอลโลกแน่นอน

21. เอมิล สมิธ โรว์

แม้แต่แฟน ๆ อาร์เซนอล ก็ยังประหลาดใจกับความยอดเยี่ยมของเอมิล สมิธ โรว์ ที่ทำผลงานในฤดูกาลนี้ได้ดี และน่าจะเป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีอาร์เซนอลด้วย อีกทั้งเขายังได้ลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ในเกมล่าสุด และยิงประตูให้กับทีมชาติได้แล้วด้วย โดยเขาหวังจะติดทีมชาติไปเล่นฟุตบอลโลกปีหน้าด้วยเช่นกัน

20. ลุค ชอว์

ลุค ชอว์ กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่พีค เขาทำประตูในนัดชิงชนะเลิศยูโร 2020 ได้ และยังทำให้เขากลายเป็น 1 ในแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดในโลกด้วย ก็แน่นอนล่ะว่าเขาเป็นนักเตะที่เล่นเกมรุกและรับได้ดีในตัว สกิลการรแย่งบอลยังสุดยอด เขาควรติดทีมไปด้วยจริงๆ

19. มาร์คัส แรชฟอร์ด

ตอนนี้ไม่มีอาการปวดไหล่หลังการผ่าตัดแล้ว แต่เรายังคงต้องรอที่จะเห็น แรชฟอร์ด กลับมาเล่นแบบมีชีวิตอีกครั้งในช่วงหลังจากนี้ แต่เราก็ไม่ได้สงสัยในความสามารถของเขา แต่เห็นเขายิงประตูอีกครั้งได้เมื่อไหร่ เราก็ลุ้นได้ยาวๆเลย

18. จอห์น สโตนส์

หลังจากกลับมาสู่การเป็น 11 นักเตะตัวจริงของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ดูเหมือนว่าเป๊ป กวาร์ดิโอล่าจะชอบให้อายเมริค ลาปอร์กต์ ได้ลงเล่นเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับ รูเบน ดิอาส แทนที่จะเป็นจอห์น สโตนส์ ที่ได้ลงเล่นแต่อย่างไรก็ตาม เขายังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดของเซาท์เกทในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คอยู่ดี

17. เมสัน กรีนวูด

เซาท์เกตมีความตั้งใจที่จะให้โอกาส เมสัน กรีนวูด ลงเล่นอยู่แล้ว ไอ้หนูรายนี้มีชื่ออยู่ในกลุ่ม 26 นักเตะชุดทำศึกยูโร 2020 มาแล้ว และอาจได้โอกาสจุดโทษในการแข่งขันนัดขิงชนะเลิศกับอิตาลีด้วย ถ้าหากเขาฟิต แต่ตอนนี้ถ้าเขายิงประตูได้ต่อเนื่อง เขาก็จะได้ไปเล่นฟุตบอลโลกแน่นอน

16. บูคาโย ซาก้า

ปีกซ้ายรายนี้เป็นความฝันของผู้จัดการทีมชาติทุกรรุ่นที่จะหนีบเขาไปเล่นกับทีมชาติด้วย เพราะความสามารถในการเล่นในตำแหน่งต่างๆ ทั่วทั้งสนามด้วยมาตรฐานการเล่นที่สูง ทำให้ ซาก้า จะเป็นประโยชน์ต่อทีมชาติแน่นอนความทรงจำเกี่ยวกับการพลาดจุดโทษในรอบชิงยูโรนั้น มันจะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และเป็นกำลังสำคัญในทีมได้อยู่เสมอ

15. อารอน แรมส์เดล

ว่ากันว่าสาเหตุที่ทำให้ อาร์เซนอล ฟื้นตัวได้มากขนาดนี้ ก็มาจากการเล่นที่ยอดเยี่ยมของ แรมส์เดล ที่เซฟประตูได้แบบอุตลุตเลยนี่เอง และคาดว่าเขาจะกลายเป็นคู่แข่งที่น่าสนใจของทั้ง จอร์แดน พิคฟอร์ด และนายทวารอีกหลายๆคนที่อยากจะติดทีมชาติกันเลยทีเดียว

14. จู๊ด เบลลิงแฮม

นอกเหนือจากกลุ่มกองกลางตัวรับรายอื่นๆในพรีเมียร์ลีกจะกำลังแย่งตำแหน่งในทีมชาติกันอย่างดุเดือดแล้วนั้น เบลลิงแฮม ก็ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในบุนเดสลีกาไปแล้ว และมันก็ไม่แน่ว่าในฟุตบอลโลกปีหน้า เขาก็อาจจะได้ไปวาดลวดลายที่กาตาร์ด้วยก็ได้

13. แจ็ค กรีลิช

แน่นอนว่า แจ็ค กรีลิช อาจยังเล่นได้ไม่คุ้มกับค่าตัว 100 ล้านปอนด์ และไม่ได้ทำผลงานได้โดดเด่นมากนักที่แมนฯ ซิตี้ แต่เขาก็ยังอยู่ในระดับท็อปคลาสและอาจจะได้เป็นตัวทีเด็ดในทีมชาติชุดทำศึกฟุตบอลโลกก็ได้

12. แฮร์รี่ แม็กไกวร์

ผลงานน่าผิดหวังสุดๆในฤดูกาลนี้ แต่เขาก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของอังกฤษในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กอยู่ดี

11. ไคล์ วอล์คเกอร์

ประสบการณ์ ความเร็วในการบุก การคุมพื้นที่ริมเส้น และความเก่งกาจของไคล์ วอล์กเกอร์ในการเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็กในรระบบแบ็กทรีก็ได้ นั่นก็หมายความว่าเขาต้องติดทีมไปเล่นฟุตบอลโลกด้วยแน่นอน

10. เบน ชิลเวลล์

ชอว์อาจต้องเจอกับงานหนักในการรแย่งตำแหน่งแบ็กซ้ายตัวจริงในทีมชาติอังกฤษกับตัวของ เบ็น ชิลเวลล์ ซึ่งมันก็เป็นมาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว และกองหลังจากเชลซีรายนี้ ก็ได้ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่ออกสตาร์ทซีซั่น 2021-22 แม้ตอนนี้เขาจะยังบาดเจ็บ แต่ก็น่าจะได้ไปเล่นฟุตบอลโลกแน่นอน

9. จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

ถ้าไม่มีปัญหาอาการบาดเจ็บ ห้องเครื่องมันสมองของลิเวอร์พูลรายนี้ ยังไงก็ต้องติดทีมชาติไปเล่นฟุตบอลโลกอย่างแน่นอน

8. จอร์แดน พิคฟอร์ด

ยูโร 2020 อันน่าทึ่งของเขา มันควรจะจบลงด้วยการที่เขาคว้าแชมป์ยูโร และเขาควรที่จะได้รางวัล Player of the Tournament มากกว่าที่ จิจี้ ดอนนารุมม่า ได้รับไปด้วยซ้ำ หากว่าในการยิงจุดโทษ อังกฤษเป็นฝ่ายชนะ และมันอาจจะทำให้เขาได้รับการยกย่องมากกว่านี้ และหนนี้ เขาก็จะได้ติดทีมไปเล่นฟุตบอลโลกเช่นเดิม

7. เดคลัน ไรซ์

แม้ว่าเขาจะไม่ได้เล่นได้อย่างร้อนแรงในยูโร 2020 แต่ไรซ์ ก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกที่โชว์ฟอร์มดีอย่างเงียบ ๆ นับตั้งแต่ฤดูร้อนที่ผ่านมาไม่ว่าเขาจะอยู่ที่เวสต์แฮมหรือสโมสรแห่งไหน แต่เขาก็จะได้ไปเล่นฟุตบอลโลกด้วยแน่นอน

6. รีซ เจมส์

การเริ่มต้นแคมเปญการแข่งขันซีซั่นใหม่ของ รีซ เจมส์ มันได้ทำให้เขาโดนนำตัวไปเปรียบเทียบกับ สตีเว่น เจอร์รารร์ด ในสมัยยังเล่นบอลอาชีพเลยทีเดียวเพราะเขาเป็นแบ็กขวาที่สามารถหุบเข้ามาเล่นเป็นมิดฟิลด์ได้แบบเนียนตาได้ เหลือเชื่อจริงๆ

5. เมสัน เมาท์

ไม่สำคัญหรอกว่าบทบาทของ เมาท์ ในสนามจะเป็นอย่างไร เขาจะเล่นอย่างไร – เขาจะหาวิธีที่จะทำให้ทีมเล่นได้ดีขึ้นและทำให้ผู้เล่นรอบตัวเขา ทำผลงานได้ดีไปด้วย

4. เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

จำได้ไหมว่าครั้งหนึ่ง มันเคยมีการถกเถียงกันว่าเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ควรอยู่ในทีมชาติอังกฤษหรือไม่? ตอนนี้ก็น่าจะได้คำตอบแล้วนะว่า นี่เป็นแบ็กขวาที่ดีที่สุด แถมยังกลับมาทำผลงานได้น่าสะพรึงกลัวมากกว่าที่เคยเป็นมาซะอีก

3. ฟิล โฟเดน

ในแง่ของความสามารถ ฟิล โฟเดน ควรได้รับการยกย่องในระดับเดียวกับ เวย์น รูนี่ย์ และพอล แกสคอยน์ เลยด้วยซ้ำแต่ก็แย่จัง เขายังไม่ได้สร้างเกียรติประวัติได้ในระดับที่เท่าเทียมกับพวกเขาด้วยเท่าไหร่ แต่กระนั้นแล้ว โฟเดน ก็ถือว่าหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกที่สามารถเล่นได้ทุกที่ในแนวรุกและในแดนมิดฟิลด์

2. ราฮีม สเตอร์ลิง

นี่เป็นความคิดที่น่าสนใจว่า ถ้าหากแมนฯ ซิตี้ได้ถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกและอังกฤษได้แชมป์ยูโร 2020 ราฮีม สเตอร์ลิง จะอยู่บนโพเดียมลุ้นบัลลงดอร์หรือไม่?
มันยากที่จะโต้แย้งในเรื่องนี้ แต่เขาก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่เซาท์เกตพึ่งพาความสามารถได้มากที่สุด

1. แฮร์รี่ เคน

ก็เป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษนี่นะ – ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่ยังไงเขาก็ต้องติดทีมไปด้วย

ผู้รักษาประตู & กองหลัง

วอจเชียค เชสนี่ (GK) – 8/10 – ก่อนจะพักครึ่ง ก็มีโชว์จังหวะเซฟบอลอยู่หลายครั้งพอสมควร และทำได้ดีทีเดียวกับการเก็บคลีนชีตในวันนี้ ฆวน กัวดราโด้ (RB) – 6/10 – วันนี้ได้เติมเกมรุกอยู่บ่อยครั้ง และต้องคอยยันคู่ต่อสู้ในแนวรับของตัวเองด้วย แต่ก็ยังดีที่การเติมเกมขึ้นไปของเขายังได้ประโยชน์ และสามารถทำประตูได้ในครึ่งหลังเลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ (CB) – 6/10 – สามารถทำการสกัดบอลในจังหวะที่สำคัญได้ในช่วงครึ่งแรก แต่ปัญหาคือเขาไม่ค่อยจะยัน อาร์เนาโตวิช เวลาดวลลูกกลางอากาศมาธไธจ์ เดอ ลิกต์ (CB) – 7/10 – เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่กองหลังวัย 22 ปี ทำผลงานได้ดี และถูกมองว่าเขากลายเป็นกองหลังกำลังสำคัญของ ยูเวนตุสไปแล้ว ดักเก็บบอลได้ดีทุกช็อตจริงๆลูก้า เปเญกรินี่ (LB) – 6/10 – ไม่ได้ทำอะไรถนัดเท่าไหร่ ต้องรับมือกับเกมริมเส้นตลอดเวลา แต่ก็ทำได้ดี

กองกลาง

อาตูร์ เมโล่ (CM) – 3/10 – พยายามโชว์คลาสบอลที่เหนือๆอยู่ตลอด แต่เหมือนร่างกายจะไปไม่ไหว และยังเล่นช้ากว่าคนอื่นๆด้วยเช่นกันอาเดรียน ราบิโอต์ (CM) – 4/10 – แย่มากในเกมนี้ ไม่มีส่วนร่วมกับเกม จ่ายบอลจังหวะทีเด็ดทีขาดไม่ไหวเลย และคุณก็คงจะไม่เชื่อสินะว่า เขาเล่นให้กับทีมที่มีความจำเป็นจะต้องเป็นแชมป์ในทุกสถานการณ์ด้วยเวสตัน แม็คเคนนี่ (CM) – 7/10 – พยายามพาบอลบุกไปข้างหน้าด้วยความพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว แข็งแกร่งในทุกจังหวะ

กองหน้า

เฟเดริโก้ แบร์นาร์เดสคี่ (RW) – 7/10 – ทำแอสซิสต์ได้แบบสุดสวยให้กับ โมราต้า และดูจะหาจังหวะสร้างสรรค์เกมได้ดีมากกว่าในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยอัลบาโร่ โมราต้า (CF) – 8/10 – เป็นอีกผลงานที่เขาทำได้ดี แข็งแกร่งในการเป็นกองหน้า แต่ขาดจังหวะที่เด็ดขาดอยู่พอควร ซึ่งเขาน่าจะยิงประตูได้ดีกว่านี้มอยส์ คีน (LW) – 6/10 – ออกไปเล่นปีก พอเล่นได้อยู่บ้าง แต่ถ้าให้เล่นระยะยาว นี่ไม่ใช่ตำแหน่งที่เขาควรจะลงเล่น

ตัวสำรอง

อเล็กซ์ ซานโดร (LB) – 6/10มานูเอล โลคาเตลลี่ (CM) – 6/10เดยัน คูลูเซฟสกี้ (RW) – 5/10โรดริโก เบนตันคูร์ (CM) – 5/10ไคโอ ฮอร์เก้ (CF) – N/A ยูเวนตุส สามารถที่จะเก็บชัยชนะเหนือทีม โบโลญญ่า ได้สำเร็จท่ามกลางการแข่งขันที่ค่อนข้างจะหนักหน่วงพอสมควร โดยในเกมนี้พวกเขาคว้าชัยชนะได้ด้วยสกอร์ 2-0 ในเกม กัลโช่ เซเรียอา เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้ลูกทีมของ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี พยายามทำให้ยูเวนตุส กลับมาเป็นทีมที่ดีที่สุดให้ได้อีกครั้ง แต่กว่าจะได้ประตูที่ 2 เพื่อปิดเกมได้นั้น มันก็ไม่ได้ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ แต่สุดท้ายยูเวนตุสก็เก็บสามแต้มได้สำเร็จจขนได้ยูเวนตุส ขึ้นนำก่อนด้วยการทำแอสซิสต์ของ เฟเดริโก้ แบร์นาร์เดสคี่ ที่จัดการจ่ายบอลอย่างสุดเฉียบขาดทะลุแบ็คไลน์ของโบโลญญ่าไปให้กับ อัลบาโร่ โมราต้า จัดการทำประตูเกิดหัวได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมนี้ประตูแรกนั้นทำให้ยูเว่เล่นบอลได้สบายขึ้น โดยประตูของ โมราต้า เกิดขึ้นในช่วงราวๆ 15 นาทีแรกของการแข่งขันอีกด้านหนึ่ง มาร์โค อาร์เนาโตวิช กองหน้าของฝั่งโบโลญญ่าก็พยายามจะเอาประตูคืนให้ได้ แต่ว่าลูกยิงของเขาก็ถูก วอยเจียค เชสนี่ เซฟเอาไว้ได้อย่างดี และจากนั้น ลูกโหม่งของมัตติอัส สวานเบิร์ก ก็ยังไม่ผ่านมือของ เชสนี่โบโลญญ่า แม้ว่าจะสร้างปัญหาได้มากมายให้กับผู้มาเยือน พวกเขาเพรสซิ่งจนแย่งบอลจากอาเดรียน ราบิโอต์ และทำทางให้ มูซ่า บาร์โรว์ ได้ยิง แต่ก็ยิงออกไปแบบไม่ได้ลุ้นเบียงโคเนรี่สามารถรักษาสกอร์ที่ยิงนำไว้ได้ในครึ่งแรก แต่พอไปเล่นครึ่งหลัง พวกเขาก็ยังโดน โบโลญญ่า กดดันอย่างหนักหลังพักเบรกเช่นกันโบโลญญ่า สร้างโอกาสที่เกือบจะเหมือนได้ประตูตีเสมอได้ แต่จังหวะของ นิโคลัส โดมิงเกซ ก็ถูก เชสนี่ เจ้าเก่าเซฟไว้ได้แต่แล้ว ยูเวนตุส ก็หายเครียดลงกระเพาะได้ทั้งทีม เมื่อพวกเขาได้ประตูย้ำชัยชนะจากการยิงของ ฆวน กัวดราโด้ วิงแบ็กชาวโคลอมเบีย ทำให้สกอร์ตอนนี้ 2-0 เข้าไปแล้ว และเมื่อจบเกม ลูกทีมของอัลเลกรีก็สามารถพายูเวนตุส ขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 5 ใกล้อันดับท็อปโฟร์ในตารางเซเรีย อาแล้วและนี่คือคะแนนความสามารถของนักเตะยูเวนตุสในเกมนี้ครับท่าน!

เปาลิโน่ อัลคันทาร่า

ปฐมบทตำนานดาวยิงที่ว่ากันว่า ทรงพลังที่สุด พลิ้วที่สุด และยังถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจในยุคต้นๆของการก่อตั้งสโมสรแห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อนเลยก็ว่าได้ และยังเป็นความภาคภูมิใจของอาเซียนอีกด้วย เพราะเนื่องจากว่า เปาลิโน่ ผู้นี้เป็นนักเตะลูกครึ่ง สแปนิช-ฟิลิปปินส์ และยังเคยผ่านการเล่นให้กับทีมชาติฟิลิปปินส์มาแล้วกองหน้ารายนี้ คือเจ้าของสถิติการยิงประตู 365 ประตูจากการลงเล่น 365 เกมให้กับบาร์ซ่า เขาเป็นกองหน้าที่อาจจะถนัดเท้าซ้ายเป็นหลักๆมาแต่แรก แต่เพราะความที่เจ้าตัวต้องการที่จะรับมือกับการต่อสู้กับแข้งเกมรับที่ดุดันหลายๆคนในลีกสเปนยุคนั้นที่ยังเล่นบอลชนิดเสียบเป็นเสียบ เลยทำให้เขาต้องฝึกใช้เท้าข้างขวา จนชำนาญขึ้น แล้วก็พัฒนาจนกลายเป็นนักเตะถนัดสองเท้าไปโดยปริยาย

ลาสดิสเลา คูบาล่า

ตำนานดาวยิงผู้ที่ถือหลากหลายสัญชาติมาก ไล่ตั้งแต่ เชโกสโลวาเกีย , สเปน และรวมถึงฮังการี่ ชาติบ้านเกิดที่แท้จริงของเขาด้วย โดยเจ้าตัวนั้นเป็นนักเตะที่มีเทคนิคการเล่นเหลือร้าย เล่นในตำแหน่งตัวฟอลส์ไนน์หรือกองหน้าตัวกลางที่สามารถอยลงต่ำมาเล่นเป็นตัวเชื่อมเกมเองก็ได้ จะดันสูงเป็นหน้าเป้า ยามที่ทีมได้บุกก็สามารถทำได้ดีแบบไร้ที่ติเช่นกันความสามารถที่ดีที่สุดอีกอย่างของเจ้าตัวก็คือ เขาเป็นนักเตะที่ถนัดการเล่นบอลด้วยเท้าสองข้าง สามารถยิงเข้าข้อได้แรง หรือจะยิงแบบปั่นโค้ง ผ่านบอลทั้งซ้ายและขวาให้ปีกที่เติมขึ้นมาสามารถยิงได้แบบสบายๆอีกด้วย

ไมเคิล เลาดรู๊ป

ตำนานจอมทัพหน้าหยกชาวเดนมาร์ก เดิมทีนั้น โยฮัน ครัฟฟ์ ตั้งใจที่จะนำตัวของ เลาดรู๊ป มาเป็นกองหน้าที่ช่วยหน้าเป้าในการผลิตสกอร์เป็นหลัก แต่กระนั้นแล้ว ด้วยทักษะในการอ่านเกม ผ่านบอล สามารถครองบอลได้ดี เลี้ยงบอลทะลุทะลวงขึ้นมาจากแดนกลางได้ ทำให้ครัฟฟ์ วางตัวของ เลาดรู๊ป ที่ถนัดเท้าขวาให้เล่นเป็นมิดฟิลด์ด้านซ้ายแต่ครัฟฟ์ดันลืมไปอย่างว่า เลาดรู๊ป ที่เล่นด้านซ้ายนั้น นอกจากว่าจะสามารถลากบอลตัดเข้าในได้ด้วยเท้าขวานั้น เขายังใช้เท้าซ้ายเล่นบอลได้ดีเช่นกัน บางครั้งเขาก็ไม่ได้ลากบอลตัดเข้าใน แต่ยังสามารถพาบอลเลาะไปทางริมเส้น และเปิดบอลเข้ามาด้วยซ้ายได้แบบเหมาะเหม็งเหมือนใช้ขวาข้างถนัดเปิดบอลเลยทีเดียว แม้แต่การยิงไกล ก็จบได้ดีทั้งสองเท้าแบบเนียนๆเลยทีเดียว

มาร์ค โอเวอร์มาร์ส

ปีกรายนี้ อาจจะไม่ได้ระเบิดฟอร์มการเล่นเทพๆออกมาได้มากเหมือนสมัยอยู่กับอาแจ็กซ์ และ อาร์เซนอล แต่เพราะเจ้าตัวเล่นได้ถนัดสองเท้า ทำให้เขาโดนวางตัวให้เล่นทางด้านซ้าย เพื่อหาทางลากบอลตัดเข้าในด้วยเท้าขวา จะปั่นโค้ง หรือจะยิงยัด เปิดบอลก็ทำได้ เพียงแต่ว่า โอเวอร์มาร์ส มีทีเด็ดตรงที่ เขาสามารถลากบอลไปทางริมเส้นและโยนบอลได้แม่นคล้ายๆรายของ เลาดรู๊ป เลยทีเดียว

เปโดร โรดริเกวซ

อดีตกองหน้าชื่อดังของบาร์เซโลน่าผู้เติบโตมาจาก ลามาเซ๊ย โดยตรง เขาเป็นกองหน้าที่สามารถทำอะไรตามแทคติกของโค้ชได้ดีมากทีเดียว และยังเป็นนักเตะที่เล่นได้ดีทั้งซ้ายขวา จะเป็นการเปิดบอล ยิงไกล แท็บอินด้วยซ้ายหรือขวา เปโดร ไม่ทำให้ใครผิดหวังในเรื่องการจบสกอร์ของเขาเลย จะเข้าเท้าไหนก็ยิงได้ทั้งนั้น

จอร์จี้ ฮาจี้ (โรมาเนีย)

ตำนานเพลย์เมกเกอร์ผีดิบ เขาคือเจ้าของฉายา “มาราโดน่าแห่งคาบสมุทรบอลข่าน” ถึงเขาจะสวมเสื้อหมายเลข 10 และถนัดเท้าซ้ายเหมือนกับมาราโดน่าต้นตำรับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าสไตล์การเล่นและตำแหน่งการยืนของเขา ค่อนข้างจะแตกต่างจากมาราโดน่าตัวจริงชัดเจนหากว่า มาราโดน่า ชอบที่จะเลี้ยงบอล และทำเกมอยู่ในพื้นที่บริเวณกรอบเขตโทษกึ่งจะเป็นหน้าต่ำแล้วนั้น ตัวของ ฮาจี้ ชอบที่จะยืนต่ำลงมาหน่อย และบางครั้งก็กระเถิบไปเล่นด้านกว้างทางริมเส้นซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ตรงกลางบ้าง และมีชอบที่จะทำเกมจากการจ่ายบอลคิลเลอร์พาสและวางบอลยาวข้ามกองหลัง นอกจากนี้ เขายังมีเท้าซ้ายที่ยิงไกลได้คมกริบ มีลูกฟรีคิกไซด์โค้งที่เฉียบขาดเกินห้ามใจ และที่สำคัญ เขาเคยสู้กับมาราโดน่าตัวจริงมาแล้ว ในฟุตบอลโลก 1990 ซึ่งมันกินกันไม่ลงเลยทีเดียว

ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ (บัลแกเรีย)

ตำนานกองหน้าทีมชาติบัลแกเรีย เป็นผู้ที่ได้ฉายา “มาราโดน่าแห่งลุ่มน้ำดานูบ” สำหรับคนๆนี้ เขามีดีกรีบัลลงดอร์ปี 1994 ประดับบารมีด้วย อีกทั้งยังเคยเป็นตำนานของบาร์เซโลน่า เช่นเดียวกันกับมาราโดน่าตัวจริงสตอยช์คอฟ เป็นนักเตะถนัดเท้าซ้ายที่ชอบเล่นตำแหน่งหน้าต่ำเหมือนกับมาราโดน่าตัวจริง โดยพื้นที่ประจำการของ สตอยช์คอฟ จะเป็นพื้นที่ด้านขวาบริเวณริมเขตโทษ และสามารถหุบเข้ามาตรงกลางได้ เป็นนักเตะที่เลี้ยงบอลดี เทคนิคสูง แพรวพราวสุดๆ และยังยิงประตูได้หนักหน่วง ฟรีคิกฉมัง สำคัญที่สุดคือ เขเป็นคนที่ใจร้อน ชอบโต้เถียงกับกรรมการเหมือนกับมาราโดน่าต้นตำรับเลยทีเดียว

มิลาน บารอส (สาธารณรัฐเช็ก)

ไม่ได้มีความเป็นเพลย์เมกเกอร์ ไม่ได้เป็นกองหน้าสไตล์ตัวหน้าต่ำ ออกแนวหน้าเป้าด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังได้รับการยกย่องให้เป็น “มาราโดน่าชาวเช็ก” ใช่ครับ เขาอาจจะไม่ได้แพรวพราวในการเลี้ยงบอลมากนัก แต่สถิติการยิงประตูของเขาก็ไม่ธรรมดา เทคนิคก็พอจะใช้ได้อยู่ แต่สิ่งที่ทำให้เขามีอะไรบางอย่างที่ทำให้มีคนนึกถึงมาราโดน่า นั่นคือเล่ห์เหลี่ยมและไหวพริบของเขานี่แหละ ที่ละม้ายคล้าย “เสือเตี้ย” มากที่สุดเลย

อาลี คาริมี (อิหร่าน)

สุดยอดตัวหน้าต่ำของทีมชาติอิหร่าน ที่ครั้งหนึ่งเคยไปเล่นให้กับบาเยิร์น มิวนิค มาแล้ว เขาเป็นนักเตะเจ้าของฉายา “มาราโดน่าแห่งเอเชีย” มีทักษะในการเลี้ยงบอลที่พลิ้วไหว เป็นตัวทำเกมโดยธรรมชาติ การจ่ายบอล การยิงประตู เรียกว่าเหนือชั้นและครบเครื่องไปหมด เคยได้รับการยกย่องให้เป็นนักเตะที่ดีที่สุดของเอเชียมาแล้วเช่นกัน

สะสม พบประเสริฐ (ไทย)

หนนี้ประเทศไทยไชโยส่งเข้าประกวด แม้ว่าหลายๆคนจะคุ้นเคยกับลีลาการวิเคราะห์บอลผ่านหน้าจอทีวี หรือเป็นโค้ชให้กับทีมฟุตบอลในไทยลีก แต่ในสมัยที่เป็นพ่อค้าแข้งนั้น “พี่เตี้ย” สะสม ถือว่าเป็นหน้าต่ำที่มีสกิลการเลี้ยงบอลแพรวพราวเลยทีเดียว ด้วยรูปร่างที่เตี้ยๆเหมือนกัน ห้าว ไม่ยอมใคร และเทคนิคดี มันเลยทำให้เขาได้รับการยกย่องให้เป็น “มาราโดน่าเมืองไทย” กันเลยทีเดียว

ซาอิด โอไวรัน (ซาอุดิอาระเบีย)

จะไม่ให้เจ้าตัวติดอันดับด้วยก็คงไม่ได้ เพราะลูกยิงบันลือโลกในฟุตบอลโลก 1994 นัดที่ซาอุดิอาระเบียได้เจอกับเบลเยี่ยม มันคือลูกยิงที่สร้างตำนานให้กับ ซาอิด โอไวรัน อย่างแท้จริง เพลย์เมกเกอร์หมายเลข 10 ของซาอุ ลากบอลตะลุยจากแดนตัวเอง ลากบอลผ่านนักเตะคนแล้วคนเล่า ก่อนจะยิงผ่านตัวของ ฌอง-มารี พัฟฟ์ สุดยอดนายทวารที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในโลกเข้าไปได้ลากบอลมาเองจากแดนตัวเอง มาคนเดียว แถมยิงประตูได้แบบเด็ดขาด มันเลยทำให้เขาได้รับฉายา “ดิ อาหรับ มาราโดน่า” ไปเลยทีเดียว

ผู้รักษาประตู & กองหลัง

อลิสซอน เบ็คเกอร์ (GK) – 5/10 – โดนทดสอบน้อยครั้งไปหน่อย และลูกที่เสียประตูนั้น ก็ต้องยอมรับว่าเขาโดนบังซะจนมองไม่เห็นวิถีบอลที่ เชลวีย์ ยิงยัดเข้ามาเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (RB) – 8/10 – ความคิดสร้างสรรค์ของเขายังคงยอดเยี่ยม เล่นได้ดีตามปกติของเขา สามารถทำเกมบุกจากแนวลึกได้ มีจังหวะแท็กเกิลที่ยอดเยี่ยมจนทำให้ไรอัน เฟรเซอร์ ยิงได้ยาก และลูกยิงสุดสวยของเขาในช่วงครึ่งหลัง มันทำให้ทุกอย่างอยู่ในกำมือของลิเวอร์พูลโจเอล มาติป (CB) – 7/10 – ดักเก็บลูกโหม่งเป็นงานหลัก แต่ไม่ค่อยจะได้ทำงานอะไรหนักเท่าไหร่ เพราะฝั่งของนิวคาสเซิ่ล ไม่ค่อยจะมีโอกาสทำเกมบุกเข้ามาหาเท่าไหร่อิบราฮิมา โคนาเต้ (CB) – 6/10 – ได้โอกาสลงเล่นสักที แต่ก็ไม่ได้มีโมเมนต์อะไรที่เด่นๆ นิวคาสเซิ่ล ไม่ได้บุกเข้ามาป่วนเขาเท่าไหร่ ยกเว้นแค่ช่วงต้นเกม ถือว่าไม่ได้ก่อความผิดพลาดอะไรมากนักแอนดี้ โรเบิร์ตสัน (LB) – 6/10 – เขาควรจะเล่นได้ดีกว่านี้ การเปิดบอลจากริมเส้นนั้นไม่แม่นยำเหมือนเดิม แต่เขาก็ทดแทนด้วยการเล่นรับได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้ทีมเล่นสบายขึ้น และการเคลื่อนที่ของเขา มันยังเป็นการสร้างพื้นที่ให้อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สามารถสร้างจังหวะยิงประตูให้ตัวเขาเองได้ด้วย

กองกลาง

อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน (CM) – 6/10 – มีเกมที่ดี ด้วยการจ่ายบอลที่โดดเด่นเป็นพิเศษของเขา เขาเป็นตัวเดินเกมในแดนกลางได้ดี อยู่ในสนามจนเกือบจะครบ 90 นาทีเต็มด้วยจอร์แดน เฮนเดอร์สัน (CM) – 7/10 – เก็บบอลได้ตลอด คอยเชื่อมเกมทางด้านริมเส้นได้ด้วย และด้วยการจ่ายบอลที่แม่นยำของเขา ก็ทำให้เพื่อนเล่นง่าย โดยในเกมนี้เขาทำสถิติผ่านบอลแม่นยำถึง 107 ครั้งเลยทีเดียวติอาโก้ อัลคันทาร่า (CM) – 5/10 – ค่อนข้างแย่ในช่วงแรก โดยเขาทำผิดพลาดสองครั้งเน้นๆ ครั้งแรกเคลียร์บอลไม่ดีจนทำให้ เชลวีย์ ยิงประตูให้นิวคาสเซิ่ล แต่ในช่วงหลังจากตั้งสติได้ ก็สามารถคุมเกมไว้ได้หมด

กองหน้า

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (RW) – 8/10 – เล่นได้ยอดเยี่ยมอีกเช่นเคย ทำประตูได้ดีมาก และครึ่งแรกนั้น เขาโชว์การครอสบอลด้วยข้างเท้าด้านนอกแบบสุดสวย มันคือเซนส์บอลระดับอัจฉริยะ แต่เสียดายที่มันไม่เป็นประตูดิโอโก้ โชต้า (ST) – 7/10 – เชื่อมเกมรุกของ ลิเวอร์พูล เข้าด้วยกันได้ดี และยังยิงประตูได้ด้วยในเกมนี้ แต่น่าเสียดายที่มันควรจะได้อีกสัก 1 ตุง แต่มันติดที่ว่า มาร์ติน ดูบราฟก้า ดันเซฟไว้ได้ซาดิโอ มาเน่ (LW) – 7/10 – ทำได้ดีมากกับการกดดันแบ็กฝั่งตรงข้าม การเคลื่อนไหวของเขาทำให้เพื่อนในเขตโทษเล่นง่ายขึ้น แม้ว่าในเกมนี้จะยิงไม่ได้

ตัวสำรอง

โรแบร์โต้ เฟร์มิโน่ (ST) – 6/10 – เยี่ยมมากที่ได้เห็นเขากลับมา แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเขาทำประตูได้ด้วยนาบี้ เกอิต้า (CM) – 6/10 – มีส่วนร่วมกับเกมรุกบ่อยขึ้น แต่อยู่ในสนามสั้นไปเจมส์ มิลเนอร์ (CM) – N/A ลิเวอร์พูล สามารถตามกดดันแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่รั้งจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จจนเหลือเพียงคะแนนเดียวแล้ว โดยล่าสุดนั้นพวกเขาสามารถเอาชนะนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ได้สำเร็จด้วยสกอร์ 3-1 ในการแข่งขันเมื่อค่ำวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ มีตัวของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, ฟาบินโญ่ และเคอร์ติส โจนส์ มีผลตรวจเลือดเป็นบวก หมายความว่าพวกเขาติดไวรัสโควิด-19 ก่อนการแข่งขัน แต่พวกเขาไม่ปล่อยให้การที่สามนักเตะตัวหลักของทีมไม่สามารถลงเล่นได้ในเกมนี้มาส่งผลต่อการเล่นของพวกเขาได้ พวกเขาตอบสนองได้ดีมากต่อการแข่งขัน แม้ว่าจะเป็นฝ่ายตามหลังก่อนในช่วงต้นเกม แต่สุดท้ายพวกเขาก็สามารถคว้าชัยชนะได้อย่างสบายๆนิวคาสเซิ่ล ยิงประตูนำได้ก่อนภายในเวลา 7 นาทีหลังคิ๊กออฟเมื่อ จอนโจ้ เชลวีย์ สามารถยิงบอลสวนกลับเข้าประตูไปเลย โดยมันเกิดจากการเคลียร์บอลที่ไม่ดีเท่าไหร่ของ ติอาโก้ อัลคันทาร่า มันเป็นประตูแรกของ เชลวีย์ ในฤดูกาลนี้เลยก็ว่าได้แต่จากนั้นทุกอย่างก็อยู่ในกำมือของลิเวอร์พูลทั้งหมด ไล่ตั้งแต่การยิงของ ดิโอโก้ โชต้า , โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และรวมถึงลูกยิงขีปนาวุธสุดแรงเกิดของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ยิงฝังเป็น 3-1เอาเถอะเรามาดูกันหน่อยดีกว่าว่าถ้าคิดเป็นคะแนน นักเตะลิเวอร์พูลควรได้กันคนละเท่าไหร่ในเกมนี้คะแนนความสามารถของนักเตะลิเวอร์พูล

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การทำทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สร้างตำนานอะไรเอาไว้บ้าง นับตั้งแต่วันแรกที่เป๊ปได้ก้าวเข้ามาคุมทีมในปี 2016 3 แชมป์พรีเมียร์ลีก , สโมสรแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำได้ 100 แต้มในพรีเมียร์ลีก , ทำประตูในพรีเมียร์ลีกได้มากกว่า 100 ประตูในสองฤดูกาล , 4 แชมป์คาราบาวคัพ , 1 แชมป์เอฟเอคัพ , 2 แชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ รวมถึงได้แชมป์เฉพาะในเกาะอังกฤษครบ 4 รายการในฤดูกาล 2018/19แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถ้าพูดกันตามจริง พวกเขาก็ทำผลงานได้ดี ยิงประตูได้อย่างน่าสะพรึงกลัวสุดๆ นับตั้งแต่ที่ยอดกุนซือชาวสเปนเข้ามาคุมสโมสรในเดือนกรกฎาคม 2016 คุณเพียงแค่ต้องดูสถิติอันสุดบรรเจิดจากด้านบนนี้ มันก็เห็นได้ชัดราวกับทีวี 4K แล้วว่าพวกเขาประสบความสำเร็จอะไรบ้างจากในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมาแต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะครองบัลลังก์ในประเทศอังกฤษได้อย่างเหนียวแน่น แต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการรจะคว้าถ้วยแชมป์ยุโรปที่พวกเขาเฉียดไปเฉียดมา โดยเมื่อฤดูกาลที่แล้วพวกเขาสามารถเข้ารอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จจากในช่วงเวลา 13 ปีที่สโมสรแห่งนี้ถูกครอบครองโดย ซิตี้ ฟุตบอล กรุ๊ป แต่พวกเขาก็ปราชัยให้กับเชลซีแบบไม่น่าเชื่อ

และอันที่จริง ทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้

ของยุคเป๊ปนั้น ถ้าไม่นับรอบชิงชนะเลิศที่พวกเขาหลุดเข้าไปชิงได้ในฤดูกาลที่แล้วนั้น ซิตี้ของเป๊ปเคยไปถึงไกลที่สุดก็คือแค่รอบก่อนรองชนะเลิศ ที่พวกเขาทำได้ถึงสามครั้งเลยทีเดียว และก่อนหน้านั้นพวกเขาเคยหลุดเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศของฤดูกาล 2015/16 มาแล้วหนหนึ่ง ภายใต้การคุมทีมของมานูเอล เปเยกรินี่ ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดที่สโมสรเคยบันทึกไว้ในเวทีที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป ก่อนจะมาถึงรุ่นเป๊ปที่พาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ในฤดูกาลที่แล้วจะว่าไป กว่าที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะกระเสือกกระสนเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้นั้น พวกเขาก็ต้องรอจนกระทั่งการมาถึงของกองหลังรายหนึ่ง ที่ทำให้พวกเขามีเกมรับที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้พวกเขาสามารถวางใจในเรื่องเกมรับได้จนพาตัวเองเข้าชิงชนะเลิศได้ และนักเตะรายนั้นก็คือ รูเบน ดิอาส เซ็นเตอร์แบ็กวัย 23 ปีที่ตอนแรกนั้นแทบจะไม่มีใครรู้จักเลย โดยเขาเดินทางมาจากเบนฟิก้าในซัมเมอร์ปี 2020 ด้วยค่าตัวมากกว่า 60 ล้านปอนด์การมาถึงของ ดิอาส ในตอนแรกนั้น สโมสรถูกแขวะว่าใช้เงินฟุ่มเฟือยเกินกว่าเหตุด้วย แต่มันก็เห็นได้ชัดว่าซิตี้ทำการบ้านของพวกเขามาดี ก่อนที่จะเซ็น

สัญญากับนักเตะรายนี้

ดิอาสไม่ใช่กองหลังที่มีชื่อเสียงอะไรก็จริง แต่การมาถึงของเขานั้น มันสามารถยกระดับเกมการเล่นของซิตี้ได้แบบชัดเจน เป็นกองหลังระดับหัวกะทิคนหนึ่งเลยทีเดียว นักเตะชาวโปรตุเกสรายนี้คือสุดยอดกองหลังที่ไปซ่อนตัวอยู่ในบ้านเกิดนานเกินไปจริงๆในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2021 ถึง 30 พฤศจิกายน 2021 สถิติของ Opta มันได้แสดงให้เห็นว่า ดิอาส เข้าสกัดบอลได้มากกว่าพวกเซ็นเตอร์แบ็กชั้นยอดคนอื่นๆในยุโรปทั้ง จอร์โจ้ คิเอลลินี่ , ดาวิด อลาบา , อันโตนิโอ รูดิเกอร์ , ติอาโก้ ซิลวา , รราฟาเอล วาราน , เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค และเซร์คิโอ รามอส ซะด้วยซ้ำ (แม้ว่าสองคนหลังจะได้รับบาดเจ็บเป็นเวลานานก็เถอะ) แต่เขาก็ประสบความสำเร็จในการเล่นให้กับสโมสรใหม่ของ ดิอาส แบบชัดเจนทั้งคว้าแชมป์ลีก เข้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีก และคว้าแชมป์บอลถ้วยในประเทศได้นอกจากนี้ เขายังทำสถิติจ่ายบอลสำเร็จคิดเป็น 93.3% จากการจ่ายบอล 3,977 ครั้ง ทำสถิติลงเล่นไป 4,281 นาที ซึ่งสูงกว่าเหล่านักเตะชั้นนำหลายๆคนด้วยซ้ำ และซิตี้เองก็สามารถเก็บคลีนชีตได้มากถึง 20 นัดจากในจำนวนการลงเล่น 50 นัดของดิอาสที่อยู่ในสนามด้วย ซึ่งคิดเป็น 40% ด้วยกัน เห็นแบบนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าผลกระทบของ ดิอาส นั้นมันไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเกมรับที่ดีเท่านั้น แต่การสวิตช์บอลจากรับเป็นรุก เขาทำได้ดีมากถ้าหากว่าจะให้เสนอชื่อใครสักคน ให้ได้รับรางวัลกองหลังยอดเยี่ยมของฤดูกาลนี้ เชื่อได้เลยว่า ดิอาส คือผู้ท้าชิงที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้รายของ ฟาน ไดจ์ค ของลิเวอร์พูลอย่างแน่นอน

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้พบกับลีดส์ ยูไนเต้ด ไปในการแข่งขันพรีเมียร์ลีกเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา โดยผลงานก่อนหน้านี้ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ค่อนข้างแย่พอสมควรจากสถิติในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพวกเขาพลาดท่าปราชัยให้กับ แอร์เบ ไลป์ซิก 2-1 และพวกเขาก็ได้ชัยชนะเพียง 1-0 เหนือวูล์ฟส์เท่านั้นฟอร์มหายไปพักหนึ่งเลยทีเดียวและแม้แต่นักเตะที่รักษามาตรฐานการเล่นของเขาไว้ได้ในระดับสูงมาโดยตลอดอย่างง เควิน เดอ บรอยน์ ก็เรียกว่ากว่าจะผ่านช่วงเวลาที่มีฟอร์มการเล่นที่น่าผิดหวังมาได้ มันก็ไม่ใช่ง่ายๆเลยทีเดียวเขาไม่มีเอี่ยวกับการทำประตูหรือแอสซิสต์เลย จากในการลงเล่นไป 8 เกมล่าสุด จนทำให้แฟนบอลเกิดคำถามว่าฟอร์มการเล่นระดับเวิลด์คลาสที่จ่ายบอลทีแทบจะกลายเป็นแอสซิสต์ หรือฟอร์มการยิงประตูที่หนักทั้งสองเท้าของเขานั้นมันหายไปไหนหมดแต่เมื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถกลับคืนสู่ฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมได้ตามปกติอีกครั้ง ในเกมที่เอาชนะลีดส์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์มโหฬาร 7-0 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมานั้น เดอ บรอยน์ ก็คืนฟอร์มเก่งได้เช่นกันกองกลางรายนี้กลับมาเล่นได้นิ่ง และน่ากลัวกว่าเดิม โดยเขาถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปั้นเกมรุกให้กับซิตี้ และพาทีมไล่ยำทีมของมาร์เซโล บีเอลซ่า ในพรีเมียร์ลีกซะเละไม่เหลือซากเลยทีเดียวนักเตะทีมชาติเบลเยี่ยมรายนี้คืนฟอร์มเก่งด้วยการยิงเอง 2 ประตูจาก 7 ประตูที่ทีมทำได้ – ใช่ เท่านั้น แถมการคุมเกมในแดนกลาง เขาก็กลับมาทำได้ดีอีกครั้งหลังจากที่ฟอร์มหลุดไปนานจนทำให้ เดอ บรอยน์ เสียฟอร์มในการเป็นเพลย์เมกเกอร์ระดับโลกไปช่วงหนึ่ง

พลังในการทะลุทะลวงของ เดอ บรอยน์

ที่ดูเหมือนจะขาดหายไปจากการเล่นบนสนามเมื่อไม่นานมานี้ ได้กลับคืนสู่สมองและเท้าทั้งสองข้างของจอมทัพเท้าชั่งทองรายนี้ เขาเข้าเพรสซิ่งในแดนกลางอย่างต่อเนื่อง รักษาความเยือกเย็นในการคุมเกม และยังจ่ายบอลตัดแนวรับของลีดส์ได้ตลอด แถมความฟิตของเดอ บรอยน์ ยังพุ่งสูงปรี๊ดจนทำให้เขาเคลื่อนตัวไปทั่วสนามเพื่อช่วยเพรสซิ่งและช่วยเชื่อมเกมกับเพื่อนด้วยอีก ไม่ว่าบอลจะอยู่ที่เท้าของแบ็กซ้ายอย่างตัวของ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชงโก้ หรือจะเป็นปีกขวาอย่าง ริยาด มาห์เรซ เราจะต้องเห็นตัวของ เดอ บรอยน์ เข้าไปช่วยเชื่อมเกมและทำให้สองตัวริมเส้นซ้าย-ขวาคู่นี้ สามารถต่อบอลได้ง่าย เล่นได้ง่าย มีเวลาในการสร้างพื้นที่ในการโจมตีแนวรับของลีดส์ได้มากขึ้นในเวลาที่ KDB เข้ามาช่วยประคองบอล

การใช้เซนส์ในการเคลื่อนตัว

หาตำแหน่งที่ตัวของเขาสามารถรับบอล และทำให้เขาสามารถยึดครองพื้นที่ทุกโซนได้ ทำให้การทำเกมรุกของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีความไหลลื่นมากขึ้นคือสิ่งที่ เดอ บรอยน์ ทำให้เห็นในเกมกับลีดส์เขาจ่ายบอลให้กับกองหน้าสามตัวลุ้นเข้าทำได้ตลอด ความเฉลียวฉลาดของเขาในการทำเกมรุก มันทำให้เขาสามารถเติมเกมขึ้นไปสลับพื้นที่กับเพื่อนร่วมทีม เพื่อเป็นกองหน้าตัวหลอก (ฟอลส์ไนน์) ได้ตลอดด้วย มันก็ยิ่งทำให้ผู้เล่นเกมรับของลีดส์ตามประกบนักเตะอัจฉริยะรายนี้ไม่อยู่จริงๆลีดส์ที่วางตัวเซ็นเตอร์แบ็กคู่กลางเป็น ดิเอโก้ ญอเรนเต้ ที่จับคู่กับ ลุค อายลิ่ง และวางตัวมิดฟิลด์คู่กลางเป็น อดัม ฟอร์ชอว์ และตัวของ สจ๊วร์ต ดัลลาส (จากนั้นก็เป็นตัวของ มาเธอุส คลิชท์ ที่ลงเล่นแทน) ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสิ้นหวังสุดๆในการตามประกบ เดอ บรอยน์ และยังเหนื่อยใจสุดๆในการตามประกบนักเตะตัวรุกรายอื่นๆของซิตี้ด้วย และมันเป็นอย่างนั้นตลอด 90 นาทีเลยทีเดียวมันเป็นความโชคดีเหลือเกินที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ตัวของ เดอ บรอยน์ ร่างทองกลับมาเร็ว แต่หลังจากนี้มันจะเป็นการต่อสู้ที่แท้จริงที่จะมีความเดือดอีกเยอะเกินขึ้น และตอนนี้ก็เหลืออีก 2 เกมก่อนจะถึงวันสิ้นปี เดอ บรอยน์ จะทำผลงานที่ดีได้อีกมากแค่ไหนกัน เราก็คงต้องมาดูกันต่อไป