คริส ซัตตัน อดีตกองหน้าชื่อดังของ เชลซี และแบล็กเบิร์น ได้กล่าวว่า โรเมลู ลูกากู กองหน้าทีมชาติเบลเยี่ยมของเชลซี ได้ทำพฤติกรรมที่แย่จนทำให้เชลซีผิดหวังและทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเขากับผู้จัดการทีมอย่างโธมัส ทูเคิ่ลจนหมดสิ้นไปแล้วกองหน้าชาวเบลเยี่ยมรายนี้ถูกถอดออกจากทีมเชลซี ในเกมที่พวกเขาเปิดศึกใหญ่และเสมอกับลิเวอร์พูล 2-2 โดยมันเกิดขึ้นหลังจากที่เขาดันไปให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า เขาไม่พอใจเท่าไหร่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในทีมเชลซี ตั้งแต่เขาย้ายมาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ด้วยค่าตัวแพงระยับถึง 98 ล้านยูโรแต่กระนั้นแล้ว เขาก็ได้กลับไปฝึกซ้อมในวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่ก็มีประเด็นดราม่าเกิดขึ้นพอควรเลยทีเดียว

“เขาไปให้สัมภาษณ์กับนักข่าวแบบนั้น แล้วก็ก่อความไม่สงบในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้านักเตะอีก ไอ้บ้า มันทำไปเพื่ออะไร?เขาได้กลายเป็นบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขาเองกับผู้จัดการทีมอย่างเปิดเผยไปแล้ว และทูเคิ่ลต้องลงมือ เพราะถ้าไม่ทำ เขาจะเสียการควบคุมและสูญเสียความเคารพจากผู้เล่นไป” ซัตตันกล่าวใน BBC Radio 5 Live

“อะไรคือแรงจูงใจของเขา นี่เขาไม่ใช่เด็กอายุ 19 ปีแล้วนะ แต่นี่คือผู้เล่นระดับโลกที่มีชื่อเสียง มีนักเตะชื่อดังอยู่รอบๆ ตัว ผมคิดว่าเขาถ้าเขาทำผลงานได้ดี เขาจะสร้างความแตกต่างให้กับเชลซีในฤดูกาลนี้ได้ แต่เขาไม่ทำเขาบอกว่าเขาไม่มีความสุขกับเชลซีเลย และนั่นก็ทำให้เกิดความไม่สงบได้จริงๆมันเกิดจากการคำนวณจากสิ่งที่เขาทำ เขาเป็นคนที่มีอัตตาสูง มีชื่อเสียงมาก แต่ก็ควรจะมีความเป็นมืออาชีพให้มันมาก”

คริส ซัตตัน อดีตดาวยิงคนดังของ กลาสโกว เซลติก ได้เชื่อว่าตัวของ ฌอน ไดช์ ผู้จัดการทีมฝีมือดีของทีม เบิร์นลีย์ คือผู้จัดการที่เก่งและควรได้รับงานคุมทีม เซลติก มากที่สุดในฤดูกาลใหม่นี้ยักษ์ใหญ่แห่งลีกสก็อต เสียแชมป์ลีกให้กับเรนเจอร์สจนทำให้เกิดกระแสว่าพวกเขาอาจจะถึงเวลาต้องมีการล้างบางครั้งใหญ่เลยทีเดียว

เซลติก อาจจะกำลังมองหาเจ้านายคนใหม่มาคุมทีม หลังจากที่ นีล เลนนอน ได้ลาออกจากทีมไปเมื่อเดือนที่แล้ว เพราะเจ้าตัวต้องการรับผิดชอบที่ไม่สามารถช่วยเซลติกป้องกันแชมป์ลีกได้ และในปีนี้ กลาสโกว เรนเจอร์ส คู่แค้นทีมสำคัญก็สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพของสก็อตแลนด์ได้สำเร็จ ไดช์ มักมีข่าวลืออย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า เขาต้องการไปรับงานที่ยิ่งใหญ่กว่าการคุมทีมหนีตกชั้นแบบเบิร์นลีย์ไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่าเขาต้องการจะย้ายออกจากพรีเมียร์ลีกหรือไม่ซัตตัน ได้พูดในพอดคาสต์ Record Celtic โดยเขากล่าวว่า

“ผมคิดว่า ฌอน ไดช์ สมควรได้รับโอกาสจริงๆ ผมไม่ได้บอกว่าเบิร์นลีย์ไม่ใช่สโมสรใหญ่ แต่มันมีสโมสรที่ใหญ่กว่าเบิร์นลีย์แน่นอน นั่นคือเซลติกเขาเก่งมากนะ แต่ผลงานที่เขาทำให้กับเบิร์นลีย์มันก็เพียงพอแล้วที่เขาจะพอแค่นี้เขาเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆนะครับ เพราะเขาทำงานได้อย่างมหัศจรรย์ด้วยงบประมาณอันน้อยนิดเขาคอยดูแลทีมได้ดี วางโครงสร้างของสโมสรได้ดีมาก และแน่นอนว่าผมเองก็อยากสนับสนุนให้ เซลติก ได้ตัวของ ไดช์ ไปเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่”

ระบบการเล่นฟุตบอลของพรีเมียร์ลีก หรือฟุตบอลดิวิชั่นต่างๆในประเทศอังกฤษตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน หลายๆทีมที่ได้แชมป์นั้นมักจะใช้สูตรการเล่นแบบพิมพ์นิยม นั่นก็คือการใช้งานระบบศูนย์หน้าคู่ ซึ่งจะเป็นในรูปแบบของ 4-4-2กองหน้าสองตัวที่เล่นเป็นคู่ทูว์ท็อปนั้น จะต้องเล่นบอลให้เข้าขากัน คนหนึ่งชง คนหนึ่งยิง ผลัดกันทำหน้าที่ในการเป็นตัวเป้าและตัวต่ำที่คอยเชื่อมเกมให้กันและกันบางทีมนั้น ใช้กองหน้าตัวเป้า 2 ตัวลงไปเล่นด้วยกัน และมีหน้าที่ช่วยกันยิงประตูเป็นหลัก แต่กระนั้นแล้วด้านทีมเวิร์คก็อาจจะดรอปลงมาบ้างตามความสามารถของหน้าเป้า ยิ่งเก่งพอกัน ความอีโก้ก็ย่อมมาด้วยแต่ถ้าทีมไหนที่ใช้สูตรหน้าต่ำ 1 ตัวคอยปั้นบอลให้พาร์ทเนอร์ที่เป็นหน้าเป้า เรื่องการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันก็จะลดลงมาบ้าง และนี่คือ 5 ตำนานคู่กองหน้าที่จับคู่กันยิงประตูระเบิดระเบ้อจนเป็นตำนานของฟุตบอลอังกฤษ !

ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ – แอนดี้ โคล

เราจะเริ่มกันที่ตำนานของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 1996-97 มันคือฤดูกาลที่ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เกือบจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ แต่ก็โดนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปาดหน้าคว้าแชมป์ไปได้แบบน่าเจ็บใจ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้แฟนบอลรู้สึกทึ่งก็คือ การประสานงานของคู่กองหน้าในทีมอย่าง “หลอเล็ก” ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ ที่เล่นในบทบาทกองหน้าตัวต่ำ คอยป้อนบอลให้กับ แอนดี้ โคล ที่เล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าได้ซัลโวประตูนิวคาสเซิลยิงได้ 55 ประตูในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลดังกล่าว โดยแบ่งเป็นการยิงของ โคล 34 ลูก และตัวของ เบียร์ดสลีย์ ยิงไป 21 ประตู และแน่นอนว่าหลายลูกที่โคลยิงได้นั้น เบียร์ดสลีย์เป็นคนแอสซิสต์ให้ซะมากเลยนั่นเอง

คริส ซัตตัน – อลัน เชียเรอร์

เป็นคู่หัวหอกตัวเป้าที่แปลกประหลาดดี สำหรับทีมแบล็คเบิร์นชุดแชมป์พรีเมียร์ลีก 1995-96 เพราะว่าตัวของ คริส ซัตตัน กับ อลัน เชียเรอร์ ต่างก็เป็นกองหน้าตัวเป้าเหมือนกัน  และสำคัญที่สุดคือทั้งคู่ไมได้ชอบขี้หน้ากันเท่าไหร่ พวกเขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ที่เรียกว่เป็นเพื่อนได้เต็มปากด้วยซ้ำยามอยู่นอกสนาม แต่กระนั้นแล้วในเวลาเล่นด้วยกันในสนาม ทั้งคู่กลับเล่นบอลกันได้เข้าขาอย่างน่าประหลาด ทั้งคอยช่วยกันชงบอลให้กันตลอด ทั้งคู่ยิงประตูรวมกันได้มากถึง 49 ประตูเลยทีเดียว และได้ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งประวัติศาสตร์ร่วมกันหลังจากนั้น

เธียร์รี่ อองรี – เดนนิส เบิร์กแคมป์

คู่หัวหอกจากอาร์เซนอลคู่นี้ จัดได้ว่าเป็นคู่หัวหอกระดับตำนานที่เล่นบอลกันได้อย่างเข้าขากันอีกคู่หนึ่งเลยทีเดียวโดยตัวของ เบิร์กแคมป์ เป็นนักเตะที่โปรดปรานการเล่นเป็นกองหน้าตัวต่ำที่คอยป้อนบอลให้กองหน้าตัวเป้าทำประตูเสมอ การจ่ายบอลคิลเลอร์พาสของเขา คมกริบ แม่นยำ และการยิงประตูของเขาก็มีแต่ลูกที่ยิงสวยๆ ใช้สมองล้วนส่วนตัวของ อองรี เขาพัฒนาจากปีกไร้สกิลกลายมาเป็นกองหน้าตัวเป้าที่ปิดสกอร์ได้เด็ดขาด เขายิงประตูได้มากมายเป็นกอบเป็นกำ ได้รางวัลดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งนั่นก็ต้องชื่นชมการทำแอสซิสต์ให้จากเท้าทั้งสองข้างของ เบิร์กแคมป์ คู่หูในแดนหน้านั่นเอง ที่ทำให้งานปิดบัญชีคู่แข่งของ อองรี ง่ายดายราวปลอกกล้วยเข้าปาก

แอนดี้ โคล – ดไวท์ ยอร์ค

เรียกว่าตัวของ โคล โชคดีสุดๆที่เคยร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ในแดนหน้าที่เก่งๆมาแล้วหลายคน ทั้งกับ ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ ตอนอยู่กับนิวคาสเซิล และตอนที่มาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาเป็นหัวหอกของทีมชุดคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ยิงประตุได้มากมาย แม้จะมีเสียงค่อนขอดว่าใช้โอกาสเปลือง แต่คนที่ไม่เคยบ่นเรื่องที่เขาใช้โอกาสเปลืองเลยนั่นก็คือ ดไวท์ ยอร์ค หัวหอกทีมชาติตรินิแดด แอนด์ โทเบโก ที่พร้อมคอยปั้นบอล เชื่อมเกมให้กับเขาเสมอ โดยทั้งคู่ยิงรวมกันถึง 53 ประตูในฤดูกาล 1998-99

เควิน คีแกน – จอห์น โตแช็ค

เราจะย้อนกลับไปในยุคคลาสสิก ในช่วงสมัยที่ ลิเวอร์พูล ยังเรืองอำนาจ ได้แชมป์สารพัดรายการ พวกเขามีคู่กองหน้าที่ประหลาด แต่เล่นได้เข้าขากันมากทั้งๆที่เล่นบอลคนละสไตล์ คนหนึ่งคือ เควิน คีแกน กองหน้าร่างเล็ก แต่ทรงพลัง เทคนิคสูง คอยทำหน้าที่เป็นตัวหน้าต่ำ ส่วนอีกรายคือ จอห์น โตแช็ค หัวหอกร่างยักษ์ชาวเวลส์ที่เด่นในเรื่องการโขกบอล โตแช็ค เล่นบอลเข้าขากับคีแกนเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่า คีแกน คอยเปิดบอลให้เข้าหัว โตแช็คให้ลุ้นโขกทำประตู ในบางครั้งโตแช็คก็เป็นคนโขกตั้งบอลให้คีแกนได้ซัลโวประตูง่ายๆเลย

คริส ซัตตัน อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ เชื่อว่า ราฮีม สเตอร์ริ่ง ตัวรุกฟอร์มจัดของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะเหมาะสมลงล็อกกับทีม เรอัล มาดริด มากกว่า เอเด็น อาซาร์ เพลย์เมกเกอร์ของทีมเชลซี พร้อมทั้งเสริมว่าตัวรุกวัย 24 ปีคือหนึ่งในนักเตะที่กำลังร้อนแรงที่สุดในโลก ณ เวลานี้

ซัตตันให้สัมภาษณ์กับ Daily Mail ว่า “คุณต้องยอมรับว่า ราฮีม สเตอร์ริ่ง เป็นนักเตะระดับเวิล์ดคลาสไปแล้ว ถ้าคุณเป็น ซีเนอดีน ซีดาน ผู้จัดการทีมของเรอัล มาดริด มั่นใจหรือไม่ว่าคุณต้องการซื้อตัว เอเด็น อาซาร์? มีอะไรบ้างที่สเตอร์ริ่งทำไม่ได้ น้ำหนักในการผ่านบอลของเขาก็ยอดเยี่ยม การเคลื่อนที่ไปกับบอลก็เพลินตาและเขามีความอันตรายมากๆบนหน้าปากประตู”

“เขาอายุแค่เพียง 24 ปีเท่านั้นและกำลังพัมนาขึ้นทุกๆปี เขามีฟอร์มการเล่นที่น่าทึ่งกับทีมชาติอังกฤษใน 2 เกมที่ผ่านมาและมันพิสูจน์แล้วว่าเขาทำได้ดีแม้กระทั้งในระดับทีมชาติ สเตอร์ริ่งเป็นหนึ่งในนักเตะที่ร้อนแรงที่สุดในตอนนี้ ถ้าผมเป็นมาดริด เขาจะเป็นเป้าหมายอันดับ 1 ของผม”

คริส ซัตตัน ตั้งคำถามถึงความเชื่อใจของรองประธานสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง เอ็ด วู้ดเวิด ที่มีต่อการใช้เงินซื้อขายนักเตะของ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุกีสใช้เงินไปกว่า 300 ล้านปอนด์ ตั้งแต่เขาย้ายเข้ามาคุมทีมในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในขณะที่การเสริมทัพของเขาในช่วงซัมเมอร์นั้นน่าผิดหวัง แมนยูไนเต็ด ขาดความคงเส้นคงวาในหลายๆเกมที่ผ่านมาหลังจากที่พวกเขาทำได้เพียงแค่เสมอกับเซาแธมป์ตัน 2-2 และทำให้พวกเขารั้งอยู่ในอันดับที่ 7 ของตารางคะแนน มีคะแนนตามหลังทีมในกลึ่มท็อป 4 ถึง 8 คะแนนด้วยกัน

“ด้านตลาดซื้อขายนักเตะที่กำลังจะเปิดไม่ช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องเจอกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ” ซัตตันเผยกับ Daily Mail

“มูรินโญ่กับเงินของเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในฤดูกาลนี้ได้หรือไม่? เมื่อดูจากประวัติการใช้เงินของเขา ผมไม่คิดว่า เอ็ด วู้ดเวิด จะสามารถเชื่อใจอะไรเขาได้ สิ่งที่น่ากังวลที่สุดสำหรับพวกเขาคือการที่ผู้จัดการทีมของเขาไม่สามารถเชื่อใจได้เท่าทีมของเขา สิ่งที่เขาทำข้างสนามและการให้สัมภาษณ์หลังเกมของเขายังน่าสนใจกว่าสิ่งที่นักเตะของเขาทำในสนามเลยด้วยซ้ำ”