ปอล ป็อกบา กองกลางมากประสบการณ์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้รีวิวช่วงเวลาที่เขาย้ายออกจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อย้ายไปยังยูเวนตุสเมื่อปี 2012 ในภาพยนต์สารคดีใหม่ของเขาป็อกบา อายุเพียงแค่ 19 ปีในขณะนั้น และเขาได้แต่ดิ้นรนเพื่อหาโอกาสลงเล่นในทีมชุดแรกของยูไนเต็ด ภายใต้การทำทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่ มิโน่ ไรโอล่า เอเย่นต์ตัวแทนของป็อกบาในขณะนั้น ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้ ป็อกบา มีความความบาดหมางกับตำนานผู้จัดการทีมชาวสก็อตรายนี้ไปด้วย โดยไรโอล่าเรียกร้องให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีการปรับปรุงสัญญาค้าแข้งของป็อกบาใหม่ ถ้าหากอยากจะให้นักเตะรายนี้ได้ต่อสัญญา

ไรโอล่า ที่เสียชีวิตไปแล้วในปีนี้ เคยกล่าวไว้ในสารคดีว่า “ผมอยู่ต่อหน้าเฟอร์กูสัน ซึ่งผมเคารพเขามากนะ เขาเป็นตำนาน มีประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ร่วมกับสโมสรแห่งนี้ แต่การให้ความเคารพคือสิ่งที่คุณต้องให้ ก่อนที่คุณจะได้มันกลับคืนมา“เฟอร์กูสันคิดว่าเราพูดเกินจริงถึงคุณค่าของปอล และเราควรจะมีความสุขที่ได้เซ็นสัญญา ผมบอกเขาไปแล้วเกี่ยวกับเงินจำนวนนี้ ชิวาวาของผม จะไม่เดินบนพื้นหญ้านอกศูนย์ฝึกแน่”

“ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่คนทั้งโลกจำเป็นต้องรู้หรือเปล่าในภาพยนตร์เรื่องนี้ ป็อกบายังกล่าวถึงช่วงเวลาโคตรมาคุในเวลานั้นด้วยว่าผมตกใจมาก เขากล่าว ผมก็แบบ ‘โอเค’ เรามีโอกาสของเราแล้ว และเขาบอกว่า ‘เรากำลังจะจากไป’ และเมื่อเราจากไปจริงๆ ผมคิดว่า เซอร์ อเล็กซ์ เขาคงไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนในอาชีพการทำงานของเขาล่ะมั้ง เขาคงสตั๊น”

มีโหดกว่านี้! ไมค์ ดีน กรรมการผู้ตัดสินที่เพิ่งจะอำลาวงการไปเมื่อไม่นานมานี้ ได้ยืนยันว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ใช่ผู้จัดการทีมที่น่ากลัวที่สุดที่เขาเคยเจอในพรีเมียร์ลีกผู้ตัดสินระดับบิ๊กเนมรายนี้ แม้ว่าจะแขวนนกหวีดไปแล้ว แต่ก็ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของวงการลูกหนังและวงการเปาเลยทีเดียว แต่ว่าทางด้านของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็เป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมาก กับการที่เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้จัดการทีมที่มีประวัติในการพูดข่มขู่กรรมการในสนามหรือกระทั่งไลน์แมนเพื่อกดดันการตัดสินอยู่บ่อยครั้งจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ดีน เป็นกรรมการตัดสินเกมการแข่งขันมาตั้งแต่ปี 2000 และได้ปะทะฝีปากกับผู้จัดการทีมที่เก่งๆหลายคนในอังกฤษเลยทีเดียวดีน ได้บอกกับ BBC Sport ว่า “[ผู้จัดการทีมที่แย่ที่สุด?] มันก็ต้องเป็น อาร์แซน เวงเกอร์ ตอนที่เขาอยู่ที่ อาร์เซนอล เขาป่วนผู้ตัดสินแบบผมได้เยอะมาก ผมพบว่ามันยากเสมอ อาร์เซนอล เป็นทีมที่ดีนะ แต่ในมุมมองของผม มันเป็นการตัดสินที่โคตรเหนื่อยเลยล่ะ เวลาที่ผมต้องลงเป่าในเกมกับ อาร์เซนอล แล้วยิ่งเป็นตอนที่เขาเป็นผู้จัดการทีม มันยากมาก”

“มันอาจจะเป็นแค่การแสดงตนของเขา เขาต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอาร์เซนอลตลอดเวลา ต้องการความได้เปรียบ และถ้าเขาสามารถหาวิธีเอาชนะคุณได้ เขาก็จะทำตั้งแต่เขาหันหลังให้กับการทำทีมฟุตบอล ผมได้เจอเขาและเขาก็ยอดเยี่ยมเช่นเดิม เขาเป็นคนธรรมดาๆ แต่ถ้าถามว่า ระหว่างเขากับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ใครน่าปวดหัวที่สุด ผมตอบเลยว่าเวงเกอร์นี่แหละ”

เอริค เทน ฮาก กุนซืออาแจ็กซ์ ได้ยอมรับว่าเขาเองก็เคยมีโอกาสได้พบกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานบรมกุนซือของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยเช่นกันเทน ฮาก กำลังมีข่าวเชื่อมโยงกับงานคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฐานะผู้จัดการในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และจนถึงตอนนี้ เขาก็ได้ตอบคำถามใดๆ ไปจนหมดแล้วเกี่ยวกับอนาคตของเขาแล้ว ว่าหลังจากสิ้นสุดฤดูกาลนี้ เขาก็จะออกไปหาความท้าทายใหม่ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับช่อง YouTube ของอาแจ็กซ์ในปี 2020 เทน ฮาก ได้เปิดเผยว่าเขาได้พบกับเฟอร์กูสันมาแล้ว ในการไปเยือนสนามซ้อม แคร์ริงตัน ครั้งก่อนหน้านี้

“สตีฟกับผมไปเยี่ยมเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เมื่อครั้งที่เราต้องเล่นกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงเช้าก่อนเกมดังกล่าว เราไปดื่มกาแฟกับเขา มันเป็นบทสนทนาที่น่าจดจำเกี่ยวกับฟุตบอล เมื่อเราไปเยือน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันนั่งอยู่ในห้องทำงานของเขา เขาเป็นผู้จัดการทีม และเขามีภาพรวมของสนามที่แคร์ริงตัน และเขาสามารถติดตามการฝึกซ้อมของทีมชุดใหญ่จากสำนักงานของเขาได้เลย มันเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่า” เทน ฮาก ได้กล่าวกับสื่อ

“การที่ผมได้เข้าพบกับเขานั้น มันเป็นความรู้สึกที่ไม่รู้ลืมเลยจริงๆ เขาเป็นสุดยอดบุคคลชั้นยอด เราประทับใจมาก” สำหรับตัวของ เฟอร์กูสัน เขาได้อำลาบทบาทการเป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปในปี 2013 หลังจากที่เขาสามารถพาทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2012-13 มาครองได้สำเร็จ และนั่นก็คือการคว้าแชมป์ลีกครั้งล่าสุดของทัพอสูรแดง

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กองหน้าตัวเก๋าของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้บอกว่าเขายังคงมีความสนิทสนมกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เพราะเขาเป็นคนที่รักษาคำพูดเสมอโรนัลโด้ และเฟอร์กูสัน ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในการให้สัมภาษณ์กับสื่อเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาโรนัลโด้กล่าวว่า: “ทุกอย่างที่เขาพูดกับผม เขาทำตามที่พูดหมดเลย ลองนึกภาพสิว่าคุณอายุ 18 ปีและคุณเพิ่งย้ายมาจากสปอร์ติ้งและได้ลงเล่นกับดาวดังหลายคนทั้ง [ไรอัน] กิ๊กส์, [พอล] สโคลส์, [รอย] คีน , [โอเล่ กุนนาร์] โซลชาร์ มันยิ่งใหญ่แค่ไหน”

“ผมรู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่เขาช่วยผมได้มากในเรื่องการสื่อสาร บางครั้งเขาโทรหาผมจากที่สำนักงานของเขาเอง พร้อมกับล่ามที่นั่น แต่ก็ไม่สำคัญสิ่งสำคัญคือการบอกถึงสิ่งที่จะช่วยให้ผมเติบโตขึ้นมาจนกลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง เหมือนผู้เล่นชั้นนำคนอื่นๆ และตั้งแต่วันแรกที่เขาบอกผม เขาก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อผม ผมซาบซึ้งมาก ผมพูดเสมอว่าเขาเป็นเหมือนพ่อของผมในวงการฟุตบอล ผมต้องซาบซึ้งกับทุกสิ่งที่เขาทำเพื่อผม เพื่อครอบครัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสโมสร เขาได้ทำงานที่ยอดเยี่ยมเอาไว้มากมาย”

ส่วน เซอร์ อเล็กซ์ ก็ตอบว่า “ในฐานะผู้จัดการหรือใครก็ตามที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำและการจัดการทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ สิ่งหนึ่งที่คุณต้องพยายามและปลูกฝังให้คนที่ทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของคุณ ก็คือความมั่นใจและไว้วางใจในตัวผู้จัดการในเวลาที่พวกเขาเข้าใจ ความไว้วางใจและความมุ่งมั่นจะเกิดขึ้นเอง พวกเขาซื่อสัตย์ต่อคุณ เชื่อใจคุณ และรู้ว่าถ้ามีปัญหาอะไรก็สามารถมาหาผมได้อย่างมั่นใจเลย ประตูห้องของผมก็เปิดอยู่เสมอการเคาะประตูเพื่อเข้ามาปรึกษาเวลามีปัญหาใดๆ ที่พวกเขาเจอมา มันเปิดกว้างสำหรับพวกเขาเสมอ และคริสเตียโน่เองก็มาปรึกษาผมเสมอ”

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตกุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ยอมรับว่าในสมัยที่ยังเป็นผู้จัดการทีมนั้น เขาเคยผ่านประสบการณ์ถึง 2 ครั้งที่ตัวเองเคนปฏิเสธงานคุมทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เฟอร์กูสัน ที่ในอดีตนั้นเคยคุมทีมชาติสก็อตแลนด์ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 1986 มาก่อนนั้น ได้เปิดเผยในระหว่างการประชุมสื่อเพื่อเปิดตัวหนังสืออัตชีวประวัติเล่มใหม่ (อีกแล้ว) ของเขา โดยได้กล่าวถึงช่วงเวลาที่ FA อยากจะทาบทามเขาให้ทำงานดังกล่าว แต่เพราะความเป็นชาวสก็อตแบบเข้มข้น ทำให้เขาไม่เอาด้วย“เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะยอมรับข้อเสนอดังกล่าว” เขาเล่า

“มันเป็นครั้งที่สองเลยนะที่ผมได้รับการติดต่อจาก (อดีตประธานสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) มาร์ติน เอ็ดเวิร์ดส์ จากนั้นผมก็บอกเขาว่า ‘ลืมมันไปเถอะ ผมไม่สนใจ’ ผมตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ใช้เวลา 10 วินาทีเองด้วยในการปฏิเสธโอกาสครั้งกล่าวออกไปอย่าลืมสิว่าผมเป็นคนสก็อตแลนด์ แถมยังเคยคุมทีมชาติสก็อตแลนด์ชุดลุยฟุตบอลโลก 1986 มาแล้วด้วยนะ ผมจะทำแบบนั้นกับแฟนบอลที่บ้านเกิดได้ยังไงโค้ชชาวสก็อตมาคุมทีมชาติอังกฤษ แค่คิดก็แปลกๆแล้ว”

“ลองนึกดูสิว่า ผมจะกลับไปสก็อตแลนด์ได้อย่างไร พระเจ้าช่วย ผมตายแน่!”ทั้งนี้แม้ว่าจะอยู่ในเครือจักรภพเหมือนกัน แต่สองชาติอย่างอังกฤษและสก็อตแลนด์ กลับเป็นอริกันในเรื่องเกมลูกหนังมาช้านานแล้ว โดนที่อังกฤษนั้นมีสถิติข่มทางสก็อตแลนด์อยู่มากพอสมควรทั้งในเรื่องความสำเร็จระดับอินเตอร์ รวมถึงการเข้ารอบไปเล่นในฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ใหญ่ที่ส่วนใหญ่นั้นสก็อตแลนด์ มักจะตกรอบคัดเลือกตั้งแต่ไก่โห่ซะมากกว่านั่นเอง

ยูเซน โบลท์ ตำนานลมกรดผู้ยิ่งใหญ่ชาวจาเมกา ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการสนทนาของเขากับอดีตผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างตัวของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เมื่อคืนนี้ว่าเขาพูดอะไรกับเฟอร์กูสันบ้างโบลท์ เป็นหนึ่งในแฟนบอลที่ได้มาชมการแข่งขันแชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดที่ 2 ซึ่งทาง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถเอาชนะบียาร์เรอัลได้สำเร็จในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนส์ลีกหนนี้ด้วยสกอร์ 2-1 โบลท์ ได้กล่าวกับแมนเชสเตอร์ อีฟนิ่ง นิวส์ หลังการแข่งขันนัดนี้จบลงไปว่า

“เขา (โรนัลโด้) ช่วยแบกภาระของสโมสรเอาไว้อย่างแท้จริง และมันก็วิเศษมากที่ตอนนี้เขากลับมาอยู่ที่นี่ เต็มไปด้วยพลัง ผมดีใจที่เขากลับมาอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากเลยจริงๆนะครับผมเพิ่งรู้ในช่วงไม่นานมานี้ว่า อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เขากลับมา และผมเองก็ต้องขอบคุณเขาที่พาคริสเตียโน่กลับมา ดังนั้นผมจึงมีความสุขกับเรื่องนี้มาก ผมได้คุยกับเขานิดหน่อย แล้วก็ได้กล่าวยินดีกับผลงานชิ้นเยี่ยมของป๋า ที่พาคริสเตียโน่กลับมาที่นี่”

โบลท์ ซึ่งเป็นแฟนตัวยงของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยเขาได้กล่าวเสริมว่า“ผมมีความสุขที่ได้มาอยู่ที่นี่ ผมไม่ได้กลับมาที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มาได้พักหนึ่งแล้วนะ ตั้งแต่ไวรัสระบาด ดังนั้นแล้วผมก็แค่มีความสุขที่ได้กลับมาอยู่ที่นี่บนอัฒจันทร์พร้อมกับทุกคนเพื่อดูเกมการแข่งขันนัดนี้โบลท์ยังโดนถามอีกว่า ยังสนใจที่จะผันตัวมาเป็นนักเตะอาชีพอีกสักครั้งหรือไม่ ผมคิดว่าถ้ามีโอกาสนะ แต่ว่าการวิ่งในลู่กับในสนาม มันใช้ศิลปะการวิ่งต่างกันจริงๆ”

ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เปิดเผยว่าเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยทำให้แม่ของเขาไม่พอใจในเรื่องหนึ่ง จนถึงขั้นทำให้อดีตผู้จัดการทีมต้องเอ่ยปาก “ขอโทษ” กันเลยทีเดียวเฟล็ทเชอร์ ได้เล่าถึงตอนสมัยที่เขายังเด็ก และใกล้จะได้เซ็นสัญญากับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในฐานะนักเตะน้องใหม่ไฟแรงของทีม เขาได้กล่าวกับพอดคาสต์ของ Lockdown Tactics ว่า “ผมเกือบจะเซ็นสัญญากับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด แล้วด้วยซ้ำ และผมเองก็เคยไปเยือนที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่อายุ 12 ขวบมาแล้ว ซึ่ง ณ เวลานั้น นิวคาสเซิล เป็นทีมที่ใหญ่เป็นอันดับสองในอังกฤษรองจากยูไนเต็ด”

“ตอนนั้น เซอร์ อเล็กซ์ ได้พูดกับผมว่า ‘ดูบรรดากองกลางที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ของแมนฯ ยูไนเต็ด สิ คุณจะไม่มีวันได้อยู่ในทีมนี้แน่นอน โอกาสที่จะทะลุเข้าไปอยู่ในทีมชุดใหญ่ของยูไนเต็ด มันยากมากแน่นอน แถมนิวคาสเซิลก็อยู่ใกล้บ้านผมมากกว่าตอนนั้นผมคิดว่าผมคงต้องเล่นให้กับนิวคาสเซิล แต่ว่าเซอร์ อเล็กซ์ ที่ซึ่งเขาเคยเห็นผมเล่นบอลระดับเยาวชนมาก่อน ก็โทรศัพท์ไปคุยกับผมที่บ้านในคืนหนึ่ง และน้องสาวของผมก็รับสาย ‘นี่ ดาร์เรน ฉันโทรมาหาแกนี่ก็เพื่ออนาคตของแกเลยนะ’ เขาอาจจะคิดมากล่ะมั้งที่พูดกับผมแบบนั้น”

“ตอนนั้นผมอายุราว 15 ปี พอน้องสาวบอกผมว่า ป๋าโทรมา เธอกำลังจะหยิบโทรศัพท์มาให้ผม แต่แล้วก็เป็นแม่ผมนี่แหละ ที่ดันคว้าโทรศัพท์ไป แล้วก็พูดใส่ป๋าว่า ‘อย่าพูดกับลูกชายของฉันแบบนั้นอีกนะ’ แล้วก็กระแทกหูโทรศัพท์ลงในนาทีต่อมา โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง นั่นคือเซอร์ อเล็กซ์ เขาโทรมาอีกรอบ เขาพูดว่า ‘ขอโทษจริงๆ คุณนายเฟล็ทเชอร์ แต่เราชอบลูกชายของคุณมาก ผมอยากจะได้เขามาร่วมทีมยูไนเต็ดจริงๆ เดี๋ยวเราไปเจอกันที่คลับเฮาส์ของสโมสรเลยแม่ของผมได้มองไปรอบ ๆ บ้านโดยคิดว่า ‘ตายละ นี่ฉันเองก็ยังไม่ได้ทำงานบ้าน ฉันเองก็ต้องซักผ้าอีกเยอะด้วย’ แต่สุดท้ายเธอก็พูดว่า ‘แต่ไม่เป็นไรหรอก เราจะไปที่นั่นกัน เพื่อลูก’”

พอล แกสคอยน์ ตำนานกองกลางผู้ยิ่งใหญ่ของสโมสร นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ได้ยอมรับว่าเคยเขาเสนอตัวเองให้กับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้เอาเข้าไปเล่นกับยูไนเต็ดเมื่อครั้งที่เขาย้ายออกจาก ลาซิโอ ด้วยเช่นกันแกสคอยน์ มีชื่อเสียงในเรื่องที่ว่าเป็นมิดฟิลด์ที่มีเทคนิคแพรวพราว และในช่วงเวลาที่กำลังจะย้ายออกจาก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในช่วงพีคๆ เขาเองก็ได้รับการทาบทามจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยเช่นกัน แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะย้ายไปค้าแข้งให้กับทีม ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ส แทนที่จะตอบรับคำชวนของ เฟอร์กูสันเขาได้เล่าให้ Daily Mail ฟังว่า

“เขากำลังเดือดจัดเลยล่ะที่ผมปฏิเสธเขา ตอนแรกผมจะย้ายไปอยู่กับเขาด้วยซ้ำ แต่หลังจากนั้นเมื่อผ่านไป 6 ปี เขาก็พูดว่า ‘แกซซ่า นี่คือของขวัญสำหรับคุณนะ’ และเขาก็มอบนาฬิกาให้ผม จริงๆ แล้วผมมีโอกาสเซ็นสัญญากับเขาอีกครั้งเมื่อตอนที่ผมยังอยู่ที่ลาซิโอและกำลังจะย้ายออกจากที่นั่น ผมได้ลองเสี่ยงโทรหาเขา ผมพูดว่า ‘ผมอยากจะเซ็นสัญญากับคุณนะอเล็กซ์’

“แต่ตอนนั้นเขาก็บอกกลับมาว่า ‘ถ้าเอริค คันโตน่า ย้ายออกไป ผมจะเซ็นสัญญากับคุณเขาจะเปลี่ยนให้ผมกลายเป็นยอดนักเตะได้ไหม ผมว่าอาจจะเป็นไปได้ แม้แต่คันโตน่า เขาคอนโทรลให้อยู่ในโอวาทได้ และนักเตะแบบผมล่ะ ก็น่าจะได้เผลอๆ ถ้าผมย้ายไปตอนที่คันโตน่ายังอยู่ เขาอาจเป็นตัวสำรอง และผมก็คิดว่าผมอาจจะปรับตัวได้ดีที่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด”

ฟรานซิส ก็อกโกแลง กองกลางของทีม บียาร์เรอัล ได้กล่าวว่าเขารู้สึกสนุกกับการได้แก้แค้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานบรมกุนซือของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากที่บียาร์เรอัล สามารถคว้าชัยชนะได้ในยูโรป้าลีกนัดชิงชนะเลิศเหนือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้แบบเจ็บแสบก็อกโกแล็ง เป็นอดีตกองกลางอาร์เซนอล และในช่วงสมัยที่เขาเล่นให้กับ อาร์เซนอล เขาก็ได้ลงเล่นให้ทีมอาร์เซนอลในการต่อกรกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2011-12 แต่ว่าอาร์เซนอลก็ไม่สามารถเอาชนะยูไนเต็ดได้

เป็นเวลาสิบปีหลังจากที่ตำนานกุนซือชาวสก็อต เคยคอมเม้นถึงก็อกโกแลง ว่าเป็นนักเตะที่ยังเล่นได้ไม่ถึงขั้น มันเลยทำให้ตัวของ ก๊อกโกแลง รู้สึกจี๊ดในอกในช่วงเวลานั้น กองกลางชาวฝรั่งเศสเพิ่งจะอายุ 20 ปี และไม่สามารถช่วยทีมอาร์เซนอลได้ แถมพ่ายแพ้ให้กับยูไนเต็ดเละเทะ 8-2 อย่างน่าอับอายที่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ซึ่งเขาถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 62 ของการแข่งขันด้วยและในเกมนัดชิงยูโรป้าลีกเมื่อสองสามวันก่อน เขาได้ลงเล่นในฐานะตัวสำรองของบียาร์เรอัล และยิงจุดโทษช่วยทีมชนะ “ผีแดง”

“อาร์เซนอลเน้นแต่เด็กหนุ่มๆลงเล่น และนักเตะที่เล่นในตำแหน่งกองกลางของพวกเขาอย่าง ฟรานซิส ก๊อกโกแลง ยังเล่นได้ไม่ถึงขั้นเขาแทบจะหลุดตำแหน่งตลอดเวลา เล่นไม่ละเอียด และผมเองก็แทบไม่เคยได้ยินชื่อเขาเลย และเขาก็แทบไม่ได้ลงเล่นอีกเลยแต่สุดท้ายในเวลานี้ก๊อกโกแลง ก็ได้ตอบกลับใส่เฟอร์กูสันไปว่า ผ่านไป 10 ปีจนกระทั่งวันนี้ เขาน่าจะรู้จักผมแล้วนะ เพราะผมทำให้ทีมของเขาแพ้” เฟอร์กูสันคอมเม้นในเวลานั้น

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา หัวหน้าโค้ชทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ยอมรับว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานกุนซือของสโมสรเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับช่วงสมัยที่ยังเล่นบอลอาชีพอยู กุนซือชาวนอร์วีเจียน ฉายแววในการเป็นยอดนักเตะให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ในฐานะกองหน้าซูเปอร์ซับภายใต้การปกครองทีมของ เฟอร์กูสัน โดยที่ โซลชา ได้ย้ายออกจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปในปี 2007 และเลิกเล่นบอลอาชีพหลังจากนั้นไม่นานโซลชา ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน กำลังจะพาทีมยูไนเต็ดสู้กับ บียาร์เรอัล ในศึกยูโรป้าลีกในคืนวันพุธนี้เมื่อถามถึงพระคุณของ เซอร์ อเล็กซ์ ผู้ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับทีมยูไนเต็ดไปยังโปแลนด์เพื่อลุ้นเกมนี้ด้วย โซลชา ก็ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวในระหว่างการแถลงข่าวก่อนการแข่งขันว่า

“เขาบินออกมาพร้อมกับเราเมื่อวานนี้พวกเราบางคน ผู้เล่นบางคน และทีมงานบางคน ได้มีโอกาสดูหนังสารคดีของเขา หรือสารคดีของเจสันซึ่งเป็นพ่อของเขา ผมนั่งอยู่ที่นั่นและคิดถึงผู้ชายคนนี้เสมอ เพราะผมซาบซึ้งถึงสิ่งที่เขาทำเพื่อสโมสรมาตลอด ผมแน่ใจว่า ลุค ชอว์ ที่นั่งถัดจากผมก็รู้สึกเหมือนกันกับผมเขาเป็นคนพิเศษ เขาเหมือนสารานุกรมฟุตบอล แม้ว่าผมจะตอบคำถามเขาไปเมื่อวานนี้ ว่าผมรู้สึกยังไงกับเกมนี้ แต่เขาก็ไม่เคยกดดันอะไรผมนะเพียงแค่ให้เขาอยู่ด้วยกันกับเรา เมื่อเราทานอาหารในร้านอาหารด้วยกัน ผมแน่ใจว่าผู้เล่นในทีมหากมีใครคนไหนสงสัยอะไรเกี่ยวกับฟุตบอล พวกเขาสามารถถามเขาได้เลยเขาช่วยผมมาเยอะ และดีใจที่เขาเดินทางมากับพวกเราด้วยนะ”

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมผู้ยิ่งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้กล่าวว่าเขารู้สึกงุนงงกับการหยุดพัฒนาฝีเท้าเอาดื้อๆของ เดเล่ อัลลี่ กองกลางตัวรุกทีมชาติอังกฤษของสโมสร ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ส เฟอร์กูสันได้คิดว่าคุณภาพการเล่นของกองกลางวัย 25 ปีเป็นของจริง และควรที่จะอยู่ในช่วงของการเพาะบ่มฝีเท้าให้สุกงอมเต็มที่ เพื่อที่เขาจะได้กลายเป็น ‘ผู้เล่นระดับท็อป’

แต่กระนั้นแล้วตำนานบรมกุนซือชาวสก็อตก็ได้ยอมรับว่าเขาเองก็ ‘ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น’ กับอาชีพค้าแข้งที่เดิมที มันมีแนวโน้มที่ตัวของเขาจะกลายเป็นเพลย์เมกเกอร์เบอร์ต้นๆของโลก แต่แล้ว อัลลี่ ก็ดับอนาถไปในช่วงหลังๆเฟอร์กูสันได้พูดกับ SPORTbible ว่า”ผมคิดว่า เดเล่ อัลลี่ สามารถที่จะกลายเป็นผู้เล่นระดับท็อปได้ ผมต้องยอมรับว่าเขาเป็นมิดฟิลด์ที่มีพรสวรรค์จริงๆ เขาเล่นได้ดี และเคยมีอนาคตที่ยอดเยี่ยมมากผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น มันทำให้เขาหยุดพัฒนาในแบบที่ควรจะเป็น”

“ดูเหมือนว่าการได้รับบาดเจ็บ การเป็นตัวสำรองยาว มันส่งผลต่อความต่อเนื่องในการพัฒนาฝีเท้าของเขาอย่างมาก ตำนานกุนซือวัย 79 ปีถูกถามว่าถ้าเขายังเป็นกุนซือ มันมีนักเตะยุคปัจจุบันคนไหนบ้างที่เขาอยากเซ็นสัญญาด้วย และป๋าเฟอร์กี้ก็ได้กล่าวว่าผมชอบ แฮร์รี่ เคน และแน่นอนว่าผมเองก็ชอบ เดเล่ อัลลี่ มากด้วยเช่นกัน ทั้งคู่เล่นเข้าขากันมากและผมอยากได้ทั้งสองคนมาเล่นประสานงานด้วยกัน”

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตนายใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ยอมรับว่าเขาวางแผนการเล่นของทีมชุดที่เข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีก 2011 กับบาร์เซโลน่าผิดวิธีไปหน่อย เลยทำให้ทีมของเขาพ่ายแพ้แบบหมดรูป เฟอร์กูสัน ได้ยอมรับว่าเขายังคงเสียใจที่ไม่ได้ใช้งาน ปาร์ค จี-ซอง ตำนานมิดฟิลด์โสมขาวให้ลงเล่นในเกมดังกล่าว โดยเฉพาะกับช่วงเวลานั้นที่ ปาร์ค ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นมดงานที่ดีที่สุด แต่เขากลับโดนเมินจาก เซอร์ อเล็กซ์

ป๋าแพนด้ายังพูดอีกว่าถ้าหากว่าวันนั้น เขาใช้งาน “ตี๊ปาร์ค” คอบตามประกบแบบมาร์คตัว ลิโอเนล เมสซี่ โคตรแม่ทัพของบาร์เซโลน่าเอาไว้ตลอด 90 นาทีในเกมที่เวมบลีย์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะชนในเกมดังกล่าว เมสซี่ โชว์การตะบันไกลจากนอกเขตโทษเต็มซ้าย ส่งบอลเสียบเสาสองผ่านมือ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เข้าไปอย่างหมดจด ซึ่งบาร์ซ่าเอาชนะไปได้ 3-1
“นั่นคือจุดอ่อนของพวกเรา มันคือจุดที่ทำให้ผมพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศกับบาร์เซโลน่าที่เวมบลีย์” เซอร์ อเล็กซ์ ได้กล่าวระหว่างการถาม & ตอบร่วมกับ SPORTbible

“ผมควรจะเปลี่ยนแผนตั้งแต่ก่อนเกม และการที่ผมขะล่าใจ ไม่ได้วางตัว ปาร์ค จี-ซอง คอยตามประกบเมสซี่ นั่นเป็นความผิดพลาด ผมควรจะทำมันในครึ่งแรก แต่จากนั้นผมก็ได้พูดว่า ไม่เป็นไร เราเพิ่งตีเสมอก่อนหมดครึ่งเวลาแรก แต่เดี๋ยวพวกเขาอาจจะได้เห็นเกมการเล่นของพวกเราที่แตกต่างกันออกไป เราอาจเล่นได้ดีกว่านี้ในช่วงครึ่งหลังจริงๆแล้วเราทำได้ค่อนข้างดีในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของครึ่งแรกด้วย เรากลับมาได้และเราก็มีโอกาสแซงนำได้ด้วย แต่ถ้าผมใช้งาน ปาร์ค ตามประกบเมสซี่แต่แรก ผมคิดว่าเราเอาชนะพวกเขาได้ ผมคิดว่าผมทำได้จริงๆ”

แบร์รี่ ฟราย ผู้อำนวยการฟุตบอลของสโมสร ปีเตอร์โบโรห์ ยูไนเต็ด ได้กล่าวว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงจะเดินเกมอย่างฉลาดพอ เกี่ยวกกับเรื่องที่พวกเขาจะหา CEO คนใหม่มาทำงาน และคาดว่าตัวแทนของสโมสร คงจะต้องถาม เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานกุนซือว่าใครควรจะมาทำงานแทนที่ เอ็ด วู้ดเวิร์ด กันแน่วู้ดเวิร์ด กำลังจะลาออกจากตำแหน่งรองประธานบริหารของสโมสรในช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่มีประเด็นเรื่องผลงานของเจ้าตัว และยังเป็นคนที่ผลักดันแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปพัวพันกับการแข่งขันซุเปอร์ลีกที่เพิ่งจะยกเลิกการแข่งขันไปด้วย

“ผมคิดว่าถ้าผมเป็นเจ้าของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมจะไปเข้าพบ เซอร์ อเล็กซ์ และพูดว่า “ป๋าครับ คุณช่วยแนะนำอะไรกับผมหน่อยได้มั้ย เพราะจากที่เขาพิสูจน์ผลงานมา 26 ปีกับอาชีพการเป็นผู้จัดการที่น่าทึ่ง เขาทำงานอยู่ที่นั่นจนเป็นตำนาน ไม่มีใครทำได้แบบเขาแล้ว เขาพาทีมคว้าถ้วยแชมป์ได้มากมาย เขาได้รับความเคารพจากผู้คนทั่วโลกและเขาก็รู้จักคนเก่งๆหลายคนที่พอจะทำงานให้สโมสรได้” ฟราย กล่าวกับ FootballFancast

“ผมจะทำแบบนั้นอย่างแน่นอนเลยนะ ถ้าผมมีส่วนในการทำงานร่วมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมจะเดินไปหาเขาและพูดว่า ‘ป๋า คุณช่วยแนะนำอะไรให้ผมบ้างสิ ใครเหมาะสมกับการเป็น CEO?’สำหรับตัวของ วู้ดเวิร์ด เขามาทำงานกัสโมสรในช่วงปี 2013 ซึ่งเป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับที่ เซอร์ อเล็กซ์ ประกาศวางมือจากการเป็นผู้จัดการทีม และเขาก็ทิ้งทวนด้วยการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกหนสุดท้ายได้พอดี

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานผู้จัดการทีมชาวสก็อต อาจได้ก้าวขึ้นมารับบทบาทที่มีอิทธิพลมากขึ้นในบอร์ดบริหารของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากการประกาศลาออกของ เอ็ด วู้ดเวิร์ด CEO คนดัง นับตั้งแต่เกษียณตัวเองไปในปี 2013 เฟอร์กูสันได้ทำหน้าที่เป็นทูต และยังเป็นผู้อำนวยการสโมสรที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด แต่มีข้อเสนอแนะมาจากบุคลากรของสโมสรด้วยว่า บางทีสโมสรอาจต้องพึ่งพาบารมีและความสามารถของเขา ด้วยการสนับสนุนให้ “ป๋าแพนด้า” มีบทบาทมากขึ้นในสโมสร หลังการจากไปของ วู้ดเวิร์ด ที่แฟนบอลไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไหร่

ปัจจุบันเฟอร์กูสันมีบทบาทในการทำงานอยู่บ้างใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด แต่ว่าถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องการแข่งขัน ดูเหมือนว่า เฟอร์กูสันก็ไม่ได้มีหน้าที่หลักๆในการทำงานที่ชัดเจนเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับผู้อำนวยการคนอื่นๆอย่างไรก็ตาม เขามีบทบาทในการช่วยทีมทำข้อเสนอเพื่อเซ็นสัญญากับ จู๊ด เบลลิงแฮม เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว โดยให้นักเตะเยาวชนชื่อดังรายนี้ และครอบครัวของเขาได้มาทัวร์สโมสรเป็นการส่วนตัว ได้พาไปชมสิ่งอำนวยความสะดวก สถานฝึกซ้อมของสโมสร

แต่ท้ายที่สุด ยูไนเต็ด ก็แพ้ให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เข้าให้จนได้และแอธเลติก ก็ได้กล่าวว่าบรรดาสมาชิกบอร์ดบริหารบางคน มีความต้องการให้ เฟอร์กูสัน เข้ามามีบทบาทในสโมสรมากขึ้น เพราะไหนๆ วู้ดเวิร์ด ที่ไม่ค่อยจะมีผลงานที่ดีในการบริหารก็จากไปแล้ว พวกเขาสมควรจะให้บุคคลที่แฟนบบอล สต๊าฟ นักเตะ และบรรดาบอร์ดบริหารไว้วางใจที่สุดอย่าง เฟอร์กูสัน เข้ามาทำหน้าที่แทนวู้ดเวิร์ด มันน่าจะดีกว่า

คุณเคยได้ยินเรื่องราวของนักเตะระดับโลก กับผู้จัดการทีมระดับโลกที่มีปัญหากระทบกระทั่งกันยาวตั้งแต่สมัยร่วมงานในทีมเดียวกัน ยันกระทั่งผ่านไปเป็น 10-20 ปีก็ยังแค้นกันไม่เลิกบ้างหรือไม่ วันนี้เราได้เลือกเอาคู่นักเตะ-ผู้จัดการทีมระดับตำนาน 3 คู่ที่ไม่มีวันเผาผีกันได้แน่นอนตินี้มาเล่าให้ทุกท่านฟัง

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช – เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

นี่เป็นเรื่องราวที่แฟนบอลได้เห็นหรือรู้กันมานานเป็น 10 ปีแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่าง เป๊ป และ อิบราฮิโมวิช ไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่ และถึงขั้นที่ว่า อิบราฮิโมวิช มองตัวของเป๊ปเป็นศัตรูที่ไม่มีวันเผาผีกันได้แน่นอนอิบราฮิโมวิช ได้ย้ายมาจากสโมสร อินเตอร์ มิลาน เพื่อมาค้าแข้งกับบาร์เซโลนา โคตรทีมของลีกสเปนที่เพิ่งคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาได้ในปี 2009 โดยเขาย้ายมาแบบสลับตัวกับ ซามูเอล เอโต้ และตอนแรกนั้น ซลาตัน ทำผลงานได้ดี ยิงประตูได้ต่อเนื่องจนเป็นสถิติใหม่เลยทีเดียวแต่ทว่าในช่วงหลังๆนั้น เป๊ป ต้องการให้ อิบราฮิโมวิช ทำหน้าที่เป็น ทาร์เก็ตแมน ในกรอบเขตโทษเพื่อเน้นยิงประตูอย่างเดียว ซึ่งมันขัดใจต่อซลาตันที่ต้องการทำอะไรมากกว่านั้น และนอกจากนี้ เป๊ป ยังต้องการผลักดันให้ ลิโอเนล เมสซี่รับบทบาทเป็นศูนย์หน้าตัวกลางที่เน้นในการทำเกม ยิง จ่ายได้อย่างอิสระมากกว่าจะใช้งาน อิบราฮิโมวิช ในตำแหน่งนั้นความบาดหมางของ เป๊ป และอดีตกองหน้าทีมชาติสวีเดนหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เรื่องกาใช้“รถยนต์” ส่วนตัว และเมื่อมีการดรอปกองหน้ารายนี้ไปเป็นตัวสำรองในช่วงหลังๆ มันเลยทำให้ ซลาตัน ไม่พอใจกุนซือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คนปัจจุบันเป็นอย่างมาก
จนกระทั่งทุกวันนี้ เขาก็ยังคงหาโอกาสพูดแซะเป๊ปผ่านสื่อเสมอถ้ามีโอกาส

รอย คีน – เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

สำหรับคู่นี้ ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยซี้กันสุดๆ คีน อดีตกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยเป็นแข้งลูกรักของ เฟอร์กูสัน เรียกว่าใครก็แตะต้องไม่ได้ เป็นนักเตะที่มีอารมณ์ต่อทีมมากกว่าใคร ไม่ค่อยมีใครกล้างัดด้วย และมี เฟอร์กูสัน คอยแบ็คอัพให้ตลอดแต่ทว่าในช่วงฤดูกาล 2005-06 ผลงานในลีกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกต่ำลงไปมาก และทางตัวของ รอย คีน ก็เริ่มหาเรื่องด่านักเตะในทีมที่เล่นกันไม่ได้ดั่งใจ จนเริ่มมีปากมีเสียงกับนักเตะซีเนียร์คนอื่นๆคีนซึ่งคิดว่า เฟอร์กูสัน ยังไงก็เข้าข้างตัวเองแน่นอนแม้ว่าเขาจะเปิดปากวิจารณ์ทีมเมตแรงแค่ไหน แต่ครั้งนี้เขาคิดผิด ! หนนี้โคตรกุนซือชาวสก็อตตัดสินใจ “ขาย” ตำนานแข้งไอริชรายนี้พ้นทีมก่อนที่สปิริตในทีมจะพังคนสไตล์คีนเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงออยู่แล้ว เขาไม่พอใจ เฟอร์กูสัน ที่ไม่สนับสนุนเขา และจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็คอยหาโอกาสตามด่าตามแซะอดีตคนที่เคยเคารพอย่าง เฟอร์กูสัน มาโดยตลอด

มาร์โก ฟาน บาสเท่น – อาร์ริโก้ ซาคคี่

คนหนึ่งเป็นโค้ชที่เน้นในเรื่องแผนการเล่นเพรสซิ่ง และเน้นเกมรับที่ทรงประสิทธิภาพ แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็คือสุดยอดศูนย์หน้าดีกรีสูงที่เคยได้แชมป์มาแล้วสารพัดทั้งกับสโมสรและทีมชาติฮอลแลนด์ ซาคคี่ เป็นยอดกุนซือที่นำแผนการเล่น “โซนเพรส” มาใช้กับสโมสรเอซีมิลาน นักเตะทุกคนจะต้องเข้ากดดันนักเตะฝ่ายตรงข้ามด้วยการล้อมกรอบ กดดันหนักจนกว่าจะแย่งบอลคืนมาได้นักเตะทุกคนจะต้องช่วยกัน ไม่เว้นแม้แต่กองหน้าซึ่งแน่นอนว่ามันอาจจะขัดใจนักเตะประเภทตัวรุกในแดนหน้า โดยเฉพาะกับ ฟาน บาสเท่น ที่ซึ่งเขาไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองจะต้องลงมาช่วยในเรื่องการเล่นเกมรับและช่วยแย่งบอลด้วยแม้ว่าทั้งคู่จะประสบความเร็จร่วมกันในมิลานด้วยการคว้าแชมป์สารพัดรายการ แต่ในท้ายที่สุดฟางเส้นสุดท้ายระหว่าง ฟาน บาสเท่น และตัวของ ซาคคี่ ก็มาถึงจุดแตกหัก เมื่อทางฟาน บาสเท่น ได้กดดันทาง ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ประธานสโมสรว่าถ้าหากมิลานคิดที่จะเก็บ ซาคคี่ ไว้เป็นกุนซือ ทางมิลานก็จะต้องขายตัวของเขาออกไป
ซึ่งแน่นอนว่า “ป๋าแบร์” เลือกที่จะเก็บ ฟาน บาสเท่น เอาไว้กับทีมและสนับสนุนให้ ซาคคี่ ก้าวไปรับงานคุมทีมชาติอิตาลีแทน

ฆวน เซบาสเตียน เวรอน อดีตดาวเตะจอมทัพของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , เชลซี และลาซิโอ ได้กล่าวว่าเขาได้รับการสนับสนุนจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่เสมอๆ กองกลางจอมทัพระดับตำนานชาวอาร์เจนไตน์ ประสบปัญหาในการปรับตัวเข้ากับพรีเมียร์ลีกอย่างหนัก หลังจากที่เขาได้ย้ายไปเล่นให้กับทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2001 ด้วยความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่ว่าตำนานเพลย์เมกเกอร์จอมไขว้บอลรายนี้จะสามารถสร้างผลงานระดับโลกได้เหมือนครั้งที่เขาทำให้กับ ลาซิโอ ชุดแชมป์เซเรียอา 1999-00

ในขณะที่เขาได้ลงเล่นในฟุตบอลถ้วยยุโรป เวรอน ดูจะเฉิดฉายสุดๆ แต่เขาก็ต้องดิ้นรนอย่างหนักในช่วงที่ได้กลับไปเล่นในพรีเมียร์ลีก และความโหดร้ายของโปรแกรมการแข่งขัน สไตล์ของฟุตบอลลีกที่เล่นกันหนัก แถมฤดูหนาวของอังกฤษก็ไม่มีการพักเบรกด้วย มันเลยทำให้เวรอนรู้สึกอึดอัดแต่ เวรอน ก็ได้กล่าวว่า เฟอร์กูสัน คอยหนุนหลังตัวของเขาอยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะเล่นไม่เข้ากับแผนของทีมก็ตาม เขาบอกกับ FourFourTwo ว่า

“เขา (เฟอร์กูสัน) เรียกร้องกับทุกคนมาก ถ้าคุณทำได้ไม่ดี มันก็ชัดเจนว่าคุณจะต้องมองหาทีมแห่งอื่นไว้เป็นที่รองรับทันทีเขาตรงไปตรงมากับผมเสมอ แต่เขาก็เป็นคนที่ชื่นชมมาตลอด เขาสนับสนุนผมและอยากเห็นผมปรับตัวเข้ากับทีมได้ ในบางจุด ผมไม่สามารถทำอะไรให้เขาได้ทุกอย่างนะครับ เขาคาดหวังจากผมเยอะ แต่ผมให้เขาไม่ได้ในทุกเรื่อง มันน่าเจ็บปวด”

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานผู้จัดการทีมผู้ยิ่งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ยอมรับว่าเขามีความสุขที่เขาเกษียณตัวเองออกจากการเป็นกุนซือ ก่อนที่ตัวของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะมารับหน้าที่คุมทีมลิเวอร์พูล ทั้งสองฝ่าย มีโอกาสจะได้พบกันอีกครั้งในศึก “วันแดงเดือด” ในวันอาทิตย์นี้ ซึ่งในการปะทะกันครั้งนี้อาจจะเป็นตัวตัดสินได้เลยว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถนั่งอยู่บนบัลลังก์จ่าฝูงต่อไปอีก 1 สัปดาห์ได้หรือไม่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไปครอง 20 สมัยด้วยกัน และพวกเขาก็เป็นจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีกในเวลานี้อยู่ ส่วนลิเวอร์พูลก็ตามหลังมาในฐานะรองจ่าฝูง และมีโอกาสแซหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ทุกนัดด้วยเช่กัน

“ยูไนเต็ดกับลิเวอร์พูลเหรอครับ นี่เป็นจะเกมแห่งฤดูกาลเลยทีเดียว – นี่คือการต่อสู้กันของทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศอังกฤษเลยก็ว่าได้” จอมคนชาวสก็อตแลนด์ ได้กล่าวในระหว่างการพูดคุยกับนักข่าว ตำนานบทใหม่ของลิเวอร์พูล เริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่คล็อปป์เข้ามาอยู่ที่นี่ เขาปรับปรุงอะไรต่างๆได้ดีมากเลย ผมต้องสร้างทั้งสโมสรใหม่หมดเลย ไม่ใช่แค่ทีมชุดใหญ่ เพื่อให้เหนือกว่าพวกเขามาตลอดหลายปีน่ะแหละ แล้วก็ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ผมเกษียณตัวเองไปแล้ว เพราะเมื่อผมได้เห็นผลงานของลิเวอร์พูลในช่วงสองฤดูกาลที่ผ่านมา – เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก พวกเขาเล่นบอลเกมรุกได้ดุดันสุดๆเลยนะครับ และแน่นอนว่าผมชอบใจฝีมือของ คล็อปป์ เขาทำทีมลิเวอร์พูลเล่นบอลได้น่าชื่นชมจริงๆ”

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไอคอนตำนานกุนซือของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้กล่าวถึงคำวิจารณ์ของเขาเกี่ยวกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มิดฟิลด์กัปตันทีมลิเวอร์พูลคนปัจจุบัน เอาไว้ใหนังสืออัตชีวประวัติเล่มหนึ่งของเขาด้วย เฟอร์กูสัน ได้ให้รายละเอียดอย่างน่าสนใจไปแล้วว่า ทำไมทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงกล้าปฏิเสธโอกาสที่จะเซ็นสัญญากับ เฮนเดอร์สัน ตั้งแต่เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กปั้นที่สโมสร ซันเดอร์แลนด์ โดยที่ “ป๋าแพนด้า” ได้ตั้งคำถามถึงสไตล์การเล่น และสปีดในการวิ่งของเขาว่าอาจจะยังไม่พร้อมสำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา บรมกุนซือชาวสก็อตได้กล่าวว่า

“มันมีคำวิจารณ์จาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เกี่ยวกับการประเมินคุณภาพของ จอร์แดน จากปากของผม และผมเคยเขียนถึงเรื่องนี้ลงไปในหนังสือของผมด้วยนะ เรื่องจริงคือเราพร้อมที่จะเซ็นสัญญากับเขาตั้งแต่ตอนที่ ซันเดอร์แลนด์ ยังปั้นเขาอยู่เลย แล้วผมก็เคยพูดคุยกับ สตีฟ บรูซ ในสมัยที่ทำงานอยู่กับซันเดอร์แลนด์ด้วย ทีมสอดแนม / ทีมแพทย์ของเราบอกว่า พวกเขาไม่พอใจกับสไตล์การเล่น และวิธีการวิ่งของเขาเท่าไหร่นัก”

“พวกเขาบอกว่า เฮนเดอร์สัน อาจเป็นนักเตะประเภทที่ได้รับบาดเจ็บบ่อยๆแน่นอน ผมต้องแน่ใจว่าผู้เล่นจะสามารถพร้อมใช้งานเสมอแต่ผมก็ชอบ จอร์แดน ในฐานะนักเตะนะครับ เขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วในตอนนี้ว่าเขาเป็นนักเตะที่มีคุณภาพสูงและทุ่มเทเพื่อนสโมสรจริงๆ เรื่องราวทั้งหมดที่ผมได้ยินเกี่ยวกับเขา มันทำให้ผมคิดว่าผมพลาดได้คนที่ดีจริงๆมาอยู่กับยูไนเต็ด”

เวย์น รูนีย์ กองหน้าชาวอังกฤษของ ดาร์บี้ ได้ปิดเผยว่าตัวของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานกุนซือของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยแสดงที่ไม่พอใจในการเล่นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนิดที่ออกนอกหน้ามาแล้ว โดยเฉพาะกับในเกมที่พวกเขาเอาชนะ บาร์เซโลนา ได้สำเร็จในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศของถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2008 ยูไนเต็ด สามารถเอาชนะ เชลซี ได้ในการดวลจุดโทษในรอบชิงชนะเลิศที่กรุงมอสโกวในปีนั้น

แต่ฝั่งของ เฟอร์กูสัน แม้เขาจะพาทีมคว้าแชมป์ในปี 2008 แต่ว่าเขากลับพาทีมเข้าไปแพ้ บาร์เซโลนา ในรอบชิงชนะเลิศในปีถัดมา และรูนีย์ก็ได้กล่าวว่า มันเป็นความปรารถนาของตำนานกุนซือชาวสก็อตที่จะไม่พาทีมแพ้อีก แต่ก็มาพังในนัดชิงชนะเลิศปี 2011 ด้วยสไตล์บอลที่สู้ไม่ได้เมื่อมีโอกาสได้เอ่ยถึง เจมี่ คาร์ราเกอร์ ผ่านในหนังสือ The Greatest Games ของเขานั้น รูนีย์ ก็ได้กล่าวว่า

“เขาเกลียดการเล่นแบบตั้งรับที่สุด เขาเกลียดมันจริงๆเมื่อเราเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในปี 2009 เขาได้พูดกับเราว่า เขารู้ดีว่าเราสามารถเอาชนะพวกเขา (บาร์เซโลนา) ที่เล่นบอลบุกแบบนั้นได้ แต่แล้วเขาก็พูดว่า ‘เราคือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเราจะไม่เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก เพื่อที่จะแพ้ในเกมนัดชิงเราเคยปราบพวกเขามาแล้วเพราะเราเล่นเกมรับ แต่ในครั้งนี้ เราจะไม่ทำแบบนั้นเราจะบุกใส่พวกเขา และทำทุกอย่างให้ได้ชัยชนะ’ เราทุกคนนั่งอยู่ที่นั่น และในการประชุมทีมครั้งนั้น พวกเราก็คิดว่า ‘โอ้ แต่ว่าเกมนั้นไม่เป็นอย่างที่

เวย์น รูนีย์ กองหน้าหมูบินในตำนาน ได้กล่าวว่ากลยุทธ์ในการแข่งขันที่ตัวของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน งัดออกมาใช้ในการแข่งขันแชมเปี้ยนส์ลีกเมื่อปี 2009 มันไม่เวิร์คและทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปราชัยในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศกับบาร์เซโลนาเฟอร์กูสัน ได้ใช้ปรัชญาการทำทีมที่ตัวของเขาทำมาโดยตลอด นั่นคือการไซโคนักเตะ กดดันให้นักเตะในทีมของเขาพยายามเอาชนะ ลิโอเนล เมสซี่ และผองเพื่อนร่วมทีมบาร์เซโลนาในยุคพีคสุดขีดให้ได้ บริษัท แต่สุดท้ายนั้นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็จมดินคากรุงโรมเมื่อปี 2009ผลการแข่งขันที่ได้เห็นก็คือความพ่ายแพ้ 2-0 ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โดนเกม “เพรสซิ่ง” ของ เป๊ป กวาดิโอลาร์ กดดันนักเตะผีแดงซะจนไปไม่เป็นตลอด 90 นาที

“มันยากเสมอสำหรับสโมสรแห่งนี้ ที่จะแพ้โดยที่พวกเราเสียฟอร์มอย่างชัดเจนแบบเกมที่กรุงโรม เราไม่เคยเสียบอลไปให้คู่ต่อู้ได้ครองบอลมากขนาดนี้ มันเป็นช่วงเวลาเดียวจริงๆที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจออะไรแบบนั้น” รูนีย์ ได้กล่าวกับ เดอะ ซันเดย์ ไทมส์ เราแพ้ในรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกทั้งสองครั้งให้กับ บาร์เซโลนา ภายใต้การทำทีมของ กวาดิโอลาร์ พยายามที่จะกดดันพวกเขา แต่การพยายามกดดันพวกเขา มันเป็นการฆ่าตัวตาย”

“อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไซโคพวกเราไว้ว่าถ้าเรากดดันพวกเขาได้ เราก็ชนะ เขาพูดแบบนี้เสมอและผมจำได้ว่า อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังพูดอีกว่า เราเป็นแมนฯ ยูไนเต็ดและเราจะเล่นเกมรุก มันอยู่ในวัฒนธรรมของสโมสรฟุตบอลแห่งนี้” และผมก็คิดในตอนนั้นว่า “จะดีเหรอ ผมไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิ่งนี้ว่ามันจะเวิร์ค ผมคิดว่าผู้เล่นทุกคนรู้ซึ้งเลยล่ะ ว่ามันเป็นยังไง”

คีธ จิลเลสพี อดีตปีกดาวรุ่งชื่อดังได้เปิดเผยว่าตัวของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานบรมกุนซือของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเขาในการไปเจรจากับทาสโมสร นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เพื่อทำให้เขาได้รับค่าเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมจากสโมสร นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด จิลเลสพีในเวลานั้นเพิ่งจะมีอายุแค่ 19 ปีเท่านั้น และตัวของเขาถูกนำตัวไปเล่นกับทางนิวคาสเซิล เพื่อสลับฟากกับดาวยิงอย่าง แอนดี้ โคล ที่ได้ย้ายมาเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1995และอดีตปีกทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ ก็ได้ระลึกถึงช่วงเวลาที่ เฟอร์กูสัน ได้ต่อสู้ร่วมกับเขาเพื่อทำให้ นิวคาสเซิล ยอมเพิ่มค่าแรงของเขาจาก 230 ปอนด์เป็น 1,200 ปอนด์ต่อสัปดาห์

“เราไปถึงโรงแรมในเมือง เชฟฟิลด์ เพื่อเตรียมเจรจาสัญญา แม่ของผมเป็นคนรับโทรศัพท์แล้วบอกผมให้ไปที่นั่น แล้วตอนนั้นผมก็ได้ฟังข้อเสนอคร่าวๆแล้ว มันไม่โอเคสำหรับผมเลยนะ สถานการณ์ในตอนนั้นมันดูกดดันผมพอสมควร และตอนนั้นผู้จัดการ (อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน) ก็เข้ามาและพูดกับผมว่า: ‘แกดูสิ มันจะดีไหมถ้าข้าจะช่วยแก และทำหน้าที่เป็นเอเย่นต์ชั่วคราวให้กับแกดู? จิลเลสพี ได้กล่าวบน UTDPodcast

“ผมจะได้เงินค่าเหนื่อยอยู่ที่ 230 ปอนด์ต่อสัปดาห์และตามสัญญาที่นิวคาสเซิลเสนอมาให้ผมก็คือว่า ผมก็จะได้รับค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นถึง 250 ปอนด์ต่อสัปดาห์ในปีหน้าผมจำได้ว่าตอนนั้นเรานั่งอยู่ที่โต๊ะกลมใหญ่กับเซอร์ อเล็กซ์ , [เควิน] คีแกน, เฟรดดี้ เฟชทเชอร์ ประธานสโมสรนิวคาสเซิล และรวมถึงฝ่ายบริหาร ป๋าแพนด้าบอกว่า ‘ถ้าจะให้ดี คีธ ควรจะได้ 600 ยูโรต่อสัปดาห์ แต่เขาเป็นนักเตะที่ดีและเราปั้นเขามานาน ดังนั้นแล้วผมต้องการให้คุณจ่ายเขาอย่างน้อย 1,200 ยูโรต่อสัปดาห์ จะโอเคไหม ?บารมีของอเล็กซ์มันเยอะ ตอนนั้นผมมองหน้าเขาแบบงงๆ แล้วสุดท้ายนิวคาสเซิลก็เห็นดีเห็นงามด้วย”